ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือ โดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา
ผู้รายงาน นายชาติเก่ง ทองเกลียว
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนไตรมิตร
อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ
ปีที่วิจัย 2563
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ เป็นการวิจัยเพื่อพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เพื่อหาประสิทธิภาพของการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียน จากการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนไตรมิตร อำเภอโพธิ์ศรีสุวรรณ จังหวัดศรีสะเกษ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 33 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยรูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD 2) ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับ เท่ากับ 0.80 และ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ
ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และดัชนีประสิทธิผล
ผลการวิจัยพบว่า
1. ประสิทธิภาพของการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบ ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนไตรมิตร เท่ากับ 82.84/85.96 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. ค่าดัชนีประสิทธิผลของการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา มีค่าเท่ากับ 0.6984 แสดงว่านักเรียน มีความก้าวหน้าในการเรียนรู้ เพราะมีคะแนนเพิ่มขึ้นร้อยละ 69.84
3. คะแนนประเมินผลหลังการพัฒนารูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา มีความแตกต่างกับคะแนนประเมินผลก่อนการใช้ชุดกิจกรรม
การเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษา อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 นั่นคือ การจัดการเรียนการสอน เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ที่มีการนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้รายวิชาสุขศึกษา มาประกอบการจัดการเรียนรู้ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยรูปแบบการสอนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค STAD ประกอบชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง โรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา ในระดับพึงพอใจมากที่สุด