ชื่อเรื่อง รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้เพื่อส่งเสริม
ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ชื่อผู้วิจัย นายชลวัฒน์ พลมาศ ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
สถานศึกษา โรงเรียนเทศบาล ๑ เชิงชุมประชานุกูลอำเภอเมืองสกลนคร
จังหวัดสกลนคร สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครสกลนคร
ปีที่ศึกษา 2563
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้วัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงานสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) ศึกษาผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ 3) ขยายผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/3 โรงเรียนเทศบาล ๑ เชิงชุมประชานุกูล
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 จำนวน 30 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ 2) คู่มือการใช้รูปแบบ 3) เอกสารประกอบการใช้รูปแบบการเรียนการสอน แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 9 เรื่อง 4) แบบทดสอบวัดความสามารถการคิดวิเคราะห์ จำนวน 40 ข้อ 5) แบบประเมินทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน 6) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ และ 7) แบบสอบถามความคิดเห็นของครูในโรงเรียนขยายผลที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทย จำนวน 15 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การทดสอบโดยใช้ ใช้สถิติ t- test (Dependent Samples)
และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยพบว่า
1. รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีชื่อว่า PREME Model มี 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ 2) วัตถุประสงค์ 3) กระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นที่ 1 เตรียมความพร้อม การบริหารสมอง ขั้นที่ 2 ทบทวน การถ่ายโยงความรู้ ขั้นที่ 3 รวบรวมและนำเสนอข้อมูล ขั้นที่ 4 พัฒนาความจำ การสะท้อนความรู้ ขั้นที่ 5 เน้นย้ำ การนำไปประยุกต์ใช้ และ 4) การวัดและประเมินผล ผลการตรวจสอบความสอดคล้องของรูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้น โดยผู้เชี่ยวชาญ พบว่ารูปแบบการเรียนการสอนมีความสอดคล้องกันอยู่ในระดับมาก ( = 4.36, S.D. = 0.51) และเมื่อนำไปหาประสิทธิภาพ (E1/ E2) ได้ค่าประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนการสอนเท่ากับ 82.45/82.67 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80
2. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่พัฒนาขึ้น พบว่า
2.1 ความสามารถการคิดวิเคราะห์ ของนักเรียนหลังเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2.2 ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงานของนักเรียนหลังเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สูงขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
2.3 ความพึงพอใจของนักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 4.37, S.D= 0.59)
3. ความคิดเห็นของครูในโรงเรียนขยายผลการใช้รูปแบบการเรียนการสอนภาษาไทยตามทฤษฎีการสร้างความรู้ที่ส่งเสริมความสามารถการคิดวิเคราะห์ ทักษะการสื่อสารและการร่วมมือทำงาน สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.50,
S.D. = 0.56)