ชื่องานวิจัย
ชื่อผู้วิจัย นางสาวศิรธันย์ สามเชียง
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
โรงเรียนสารวิทยา
ปีการศึกษา 2563
บทคัดย่อ
การศึกษาวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. เพื่อแก้ปัญหาการเขียนภาษาไทยที่ไม่ถูกต้องของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกหัดเขียนภาษาไทย
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำก่อนและหลังการสอน
โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
3. เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
การดำเนินการ
1. ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างก่อนการฝึกแบบการเขียนสะกดคำ
2. ให้นักเรียนฝึกแบบเขียนสะกดคำ ทั้ง 2 ชุด จำนวน 10 ครั้ง
3. ทดสอบนักเรียนในกลุ่มตัวอย่างหลังการฝึกแบบการเขียนสะกดคำ
4. นำข้อมูลมาวิเคราะห์และหาข้อสรุป
ผลการศึกษาพบว่าการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ทำให้ผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำภายหลังการทดลองสูงกว่าผลสัมฤทธิ์ในการเขียนสะกดคำก่อนทดลอง ร้อยละ 56 อยู่ในเกณฑ์พอใช้เพิ่มขึ้นจากเดิมร้อยละ 24
ข้อเสนอแนะด้านการเรียนการสอน
1. จากผลการวิจัย พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยากทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมี ประสิทธิภาพ จึงควรได้รับการส่งเสริมให้ครูผู้สอนได้มีการสร้างแบบ ฝึกโดยวิเคราะห์คำมาก่อนว่าคำใดเป็นคำยากสำหรับ นักเรียนและใช้แบบฝึกเข้าช่วยในการสอนสะกดคำ จะเป็นการช่วยลดภาระและเวลาในการสอนของครูลงไปได้
เพราะแบบฝึกลักษณะนี้สามารถใช้สอนนอกเวลาได้และเด็กเรียนด้วยตนเองเป็นรายบุคคล ได้อีกด้วย
2. การสอนเขียนสะกดคำเป็นเรื่องที่เด็กไม่ค่อยชอบเรียน โดยเฉพาะเด็กที่มีปัญหาด้าน การเขียนจะรู้สึกเบื่อหน่ายและวิตกกังวลทุกครั้งที่จะต้องเรียนเรื่องการเขียนสะกดคำ ดัง นั้นครูจึงต้องหาวิธีและรูปแบบที่จะทำบทเรียนให้สนุกสนานน่าสนใจ โดยหากิจกรรม แปลกๆ ใหม่ๆ มาประกอบการ
สอนอยู่เสมอ การใช้แบบฝึกการเขียนสะกดคำจะช่วยแก้ ปัญหาความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่องนี้ได้
และเป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้นักเรียนไม่เบื่อ หน่ายการเรียน ในการสร้างแบบฝึกหัดสำหรับนักเรียนระดับ
ประถมศึกษานั้นควรมีรูป ภาพประกอบให้มากและรูปภาพนั้นต้องแจ่มชัดพอที่จะสื่อความหมายได้ตาม
ระดับ ความสามารถของเด็ก แบบฝึกแต่ละชุดไม่ควรให้มีคำมากและใช้เวลาในการทำนานจนเกินไป
3. ในการสอนเขียนสะกดคำ ครูควรเน้นที่ความหมายของคำก่อนเพราะจะช่วยทำให้นักเรียนเขียนสะกดคำได้ดีขึ้น โดยเฉพาะคำพยางค์เดียวเพราะมีคำพ้องเสียงอยู่มาก ถ้าครู สอนยังไม่มีแบบฝึกหัดอย่างน้อยควรใช้บัตรคำ บัตรความหมายคำ เปิดโอกาสให้นัก เรียนเข้าร่วมกิจกรรมการเรียนการสอนด้วย จากการที่ผู้วิจัยสังเกตพบในกลุ่มควบคุม ถ้า ครั้งใดที่ครูผู้สอนใช้บัตรคำและบัตรความหมายนักเรียนจะสนใจและรู้สึกสนุกสนานที่ จะได้เข้าร่วมกิจกรรมกับครู ดังนั้นครูไม่ควรสอนการเขียนสะกดคำวิธีการให้นักเรียน เขียนตามคำบอกและทำแบบฝึกหัดคำถูก-ผิด เท่านั้น ควรสอนคำและความหมายของคำ ก่อนทุกครั้งที่จะมีการเขียนตามคำบอก จะช่วยให้นักเรียนเขียนสะกดคำได้ดีขึ้น
4 .ควรมีการสนับสนุนและร่วมมือกันในกลุ่มครูผู้สอนกลุ่มทักษะภาษาไทย โดยการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำในแต่ละบทเรียน โดยนำคำที่มีความยากปานกลาง ถึงยากมากใน
บทเรียนนั้น ๆ มาสร้างเป็นแบบฝึก เพื่อให้สัมพันธ์กับคู่มือการสอนภาษา ไทย แบบเรียนภาษาไทย ให้
เด็กได้ฝึกในเวลาทำการสอนแต่ละบทเรียน
5. ครูควรเป็นแบบอย่างที่ดีในการเขียนสะกดคำให้แก่เด็ก และครูทุกคนในโรงเรียนควรร่วมมือกันแก้ไข ถ้าพบว่าเด็กนักเรียนคนใดเขียนสะกดคำผิดจะต้องแก้ไขให้ถูกต้องทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะจะทำให้นักเรียนเกิดความคงทนในคำผิดนั้น ๆ
6. แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำยากของผู้วิจัยได้สร้างขึ้นนี้ ได้รวบรวมคำยากของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่จะต้องเรียนตลอดทั้งปีมาสร้างเป็นแบบฝึก จึงสมควร ใช้แบบฝึกนี้เพื่อสอนซ่อมเสริมนักเรียนตอนปลายปี หรือเลือกสอนเฉพาะแบบฝึกที่ สัมพันธ์กับเนื้อหาในแต่ละบทเรียน
7. ในการทำแบบฝึกแต่ละครั้งของนักเรียน ครูผู้สอนจะต้องเฉลยทันทีและชี้แจงข้อ บกพร่องข้อสังเกตในการที่จะแก้ไขและจดจำ เพื่อให้นักเรียนทราบความสามารถของ ตน พร้อมทั้งแนวทางในการแก้ไขและพัฒนาความสามารถในการเขียนสะกดคำของตน ให้ดียิ่งขึ้นในครั้งต่อไปได้
8. ในการสอนเขียนสะกดคำแต่ละครั้ง ควรมีทั้งคำที่ค่อนข้างง่ายจนไปถึงคำยาก ส่วนคำ ที่มีความยากมากครูจะต้องใช้เวลาฝึกให้มากยิ่งขึ้นและควรสอนให้มีความสัมพันธ์กันทั้ง ทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน โดยเฉพาะการอ่านสะกดคำจะมีส่วนช่วยให้ นักเรียนเขียนสะกดคำได้ถูกต้องขึ้น