บทคัดย่อ
การศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาคณิตศาสตร์พื้นฐาน เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสวีวิทยา จังหวัดชุมพร ซึ่งสามารถสรุปสาระสำคัญและผลการวิจัยได้ดังนี้
1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
4. สรุปผลการวิจัย
5. อภิปรายผล
6. ข้อเสนอแนะ
1. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.1 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสวีวิทยา จังหวัดชุมพร
1.2 เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสวีวิทยา จังหวัดชุมพร ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 75/75
2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2.1 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสวีวิทยา อำเภอสวี จังหวัดชุมพร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 จำนวน 72 คน
2.2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 ภาคเรียนที่ 2
ปีการศึกษา 2563 โรงเรียนสวีวิทยา อำเภอสวี จังหวัดชุมพร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 11 จำนวน 36 คน โดยใช้การสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3. เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย
3.1 แบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
3.2 เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล แบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร โดยจำแนกเป็น แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน จำนวน 10 ข้อ 10 คะแนน และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน จำนวน 10 ข้อ 10 คะแนน แต่ละข้อมี 4 ตัวเลือก โดยแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเป็นชุดเดียวกันแต่สลับตัวเลือกตอบ ใช้เพื่อศึกษาเปรียบเทียบความก้าวหน้าในการเรียนของผู้เรียน
 
4. สรุปผลการวิจัย
4.1 การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ ตามเกณฑ์ 75/75 และค่าดัชนีประสิทธิผล เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสวีวิทยา ผู้วิจัยได้นำแบบฝึกทักษะไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 36 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 หลังจากผู้เรียนใช้แบบฝึกทักษะแล้วได้ทำการเก็บรวบรวมข้อมูลคะแนนจากแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน หลังเรียน และคะแนนจากแบบฝึกทักษะแล้วนำมาวิเคราะห์ผล พบว่า
แบบฝึกทักษะ ทำให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการในการเรียนรู้ ร้อยละ 76.29 และมีประสิทธิภาพทางการเรียนรู้หรือประสิทธิภาพของบทเรียนในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียน ร้อยละ 78.57 แสดงว่าแบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.6073 แสดงว่า ผู้เรียน มีความรู้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 60.73
4.2 การเปรียบเทียบการเรียนรู้ก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ห้อง 2 โรงเรียนสวีวิทยา จำนวน 36 คน นำคะแนนมาวิเคราะห์ผล โดยใช้สถิติ คือ t-test for Dependent Samples พบว่า
ค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน เท่ากับ 4.54 และค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน เท่ากับ 7.86 คะแนน จะเห็นได้ว่าค่าเฉลี่ยคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แสดงว่าผู้เรียนมีพัฒนาการในการเรียนสูงขึ้นหลังจากฝึกปฏิบัติด้วยแบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร
เมื่อเปรียบเทียบโดยใช้ค่า t-test โดยค่า t = 19.18* แสดงว่าผู้เรียนที่ฝึกปฏิบัติโดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร มีคะแนนสอบหลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
5. อภิปรายผล
จากการศึกษาค้นคว้าสามารถอภิปรายผลได้ ดังนี้
1. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนกับหลังเรียน เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร โดยใช้แบบฝึกทักษะ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนสวีวิทยา จังหวัดชุมพร หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน ที่เป็นเช่นนี้เพราะแบบฝึกทักษะที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เรียงลำดับจากเนื้อหาที่ง่ายไปหายาก มีความน่าสนใจ นักเรียนได้ลงมือฝึกฝนด้วยตนเอง ส่งผลให้นักเรียนมีความชำนาญในการแก้ปัญหาเพิ่มมากขึ้น
2. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะ เรื่อง ระบบสมการเชิงเส้นสองตัวแปร ในการสอนนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้กำหนดเกณฑ์ไว้ 75/75 ซึ่งการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 76.29/78.57 แสดงว่าแบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75 สามารถนำไปให้นักเรียนฝึกปฏิบัติได้ เพราะแบบฝึกทักษะ เรียบเรียงเนื้อหาจากง่ายไปยากและมีแบบฝึกทักษะที่หลากหลายให้นักเรียนได้แก้ปัญหา เหมาะสำหรับประเมินความรู้ และความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียน ที่ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่สูงขึ้น
6. ข้อเสนอแนะ
1. ครูควรสร้างแบบฝึกทักษะ ในหน่วยการเรียนรู้อื่นๆ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนให้ดีขึ้น
2. ครูควรจัดทำแบบฝึกทักษะที่คำนึงถึงความแตกต่างในการเรียนรู้ของผู้เรียนเพื่อฝึกความชำนาญในการทำโจทย์ที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น