การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ 4 MAT
ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 25 คน ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 โรงเรียน
ทุ่งฝนพัฒนศึกษา ซึ่งได้โดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ แผนการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พิกัดภูมิศาสตร์และการ เปรียบเทียบวัน เวลาโลก และแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนและหลังเรียน เพื่อเปรียบเทียบ ความแตกต่าง
ผลการวิจัย พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พิกัดภูมิศาสตร์และการเปรียบเทียบวัน เวลาโลก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 วิชาสังคมศึกษาศาสนาและวัฒนธรรมที่เรียนโดยใช้การเรียนรู้แบบ 4 MAT หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน และการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ 4 MAT ทำให้ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนสูงขึ้น
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อศึกษาผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรูแบบ 4 MAT ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ของ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เรื่อง พิกัดภูมิศาสตร์และการเปรียบเทียบวัน เวลาโลก ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ก่อนเรียนและ หลังเรียน โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบ 4MAT
ขอบเขตของการวิจัย ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนทุ่งฝนพัฒนศึกษากลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 จำนวน 27 คน ในภาคเรียนที่ 2ปีการศึกษา 2563 ได้มาจากการสุ่มแบบเจาะจง ตัวแปรที่ศึกษา
ตัวแปรต้น : การจัดการเรียนรู้โดยใช้การเรียนรู้แบบ 4MAT
ตัวแปรตาม : ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง พิกัดภูมิศาสตร์และการเปรียบเทียบวัน เวลาโลก ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
1 (Why) ผู้เรียนที่มีจินตนาการณเป็นหลัก
ผู้เรียนแบบที่ 2 (What) ผู้เรียนที่เรียนรู้ด้วยการวิเคราะห์และการเก็บรายละเอียดเป็นหลัก
ผู้เรียนแบบที่ 3 (How) ผูเรียนที่เรียนรูด้วยสามัญส านึกหรือประสาทสัมผัส
ผู้เรียนแบบที่ 4 (If) ผู้เรียนที่เรียนรู้ด้วยการรับรู้จากประสบการณรูปธรรมไปสู่การลงมือ ปฏิบัติ กระบวนการรับรู้ดังกล่าว เป็นกระบวนการที่เกิดจากการลงมือปฏิบัติจริงและเฝ้าสังเกตุอย่าง ไตร่ตรอง (Reflective Observation) ซึ่งเดวิด คอล์บ (David Kolb) ได้แบ่งรูปแบบการเรียนรู้ตาม ความแตกต่างของการเรียนรู้เป็น 4 ส่วน ตามจุดตัดของการรับรู้ซึ่งมีรูปแบบการรับรู้และกระบวนการ รับรู้ที่แตกต่างกัน ดังภาพประกอบ จึงทำให้เห็นความแตกต่างของการเรียนรู้ถึง 4 แบบตามพื้นที่ที่ถูก แบ่งด้วยเส้นตรงแห่งการเรียนรู้และเส้นตรงแทนกระบวนการรับรู้