๑. ความสำคัญของผลงานหรือนวัตกรรมที่นำเสนอ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ ๓) พุทธศักราช ๒๕๕๓ กล่าวว่าการจัดการศึกษา ต้องเป็นไปเพื่อให้คนไทยเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมใน การดำรงชีวิตสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (จิรนันท์ เงินช้าง, ๒๕๖๐, หน้า ๓๘) สอดคล้องกับหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ที่มุ่งเน้นพัฒนาเด็กทุกคนให้ได้รับการพัฒนาด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคมและสติปัญญาอย่างมีคุณภาพและต่อเนื่อง ได้รับการการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างมีความสุขเหมาะสมตามวัย โดยเฉพาะด้านสติปัญญา มาตรฐานที่ ๙ ใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมกับวัย ที่กำหนดให้มีการสนับสนุนให้เด็กได้รับรู้และเรียนรู้สิ่งต่างๆ รอบตัวผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อม บุคคลและสื่อต่างๆ ด้วยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพื่อเปิดโอกาสให้เด็กพัฒนาการใช้ภาษา การฟังเสียงต่างๆ การฟังเพลง นิทาน คำคล้องจอง การพูดแสดงความคิด ความรู้สึก และความต้องการ การพูดกับผู้อื่นเกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเอง การอ่านหนังสือภาพ นิทาน หลากหลายประเภท การอ่านร่วมกัน การเขียนร่วมกันในโอกาสต่างๆ และการเขียนอิสระ รวมถึงการเขียนคำที่มีความหมายกับตัวเด็ก (กระทรวงศึกษาธิการ, ๒๕๖๐, หน้า ๓๗)
การจัดประสบการณ์และสิ่งแวดล้อมเพื่อพัฒนาเด็กปฐมวัยอย่างถูกต้อง จะช่วยให้เด็กมีพัฒนาอย่างเต็มที่ โดยมีภาษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการติดต่อสื่อสาร ถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก ความต้องการให้ผู้อื่นได้รับรู้ ภาษาจึงเป็นพื้นฐานของการพัฒนาการและเป็นรากแก้วของการเรียนรู้ (สิริพรรณ ตันติรัตน์ไพศาล, ๒๕๔๕, หน้า ๗) สอดคล้องกับรูปแบบการเรียนการสอนฮาร์ทส (HEARTS Instructional Model) มาจากการศึกษาแนวคิดของการสอนภาษาแบบธรรมชาติ (Whole Language) และการสอนแบบ มุ่งประสบการณ์ทางภาษาแบบองค์รวม (Holistic) โดยเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child centered) เด็กลงมือกระทำอย่างอิสระจากสื่อที่หลากหลายและสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองภายใต้การทำงานร่วมกัน กับเพื่อนในชั้นเรียนและการช่วยเหลือสนับสนุนของครู (กรวิภา สรรพกิจจำนง, ๒๕๔๘, หน้า ๑๒๒) ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของสุภัสรา จตุโชคอุดม ที่ได้ศึกษาความสามารถทางภาษาด้านการอ่านและ การเขียนของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับหูตึง จากการใช้รูปแบบการเรียน การสอนฮาร์ทส (HEARTS Instructional Model) ร่วมกับการทำหนังสือขนาดใหญ่ (Big Book) พบว่า ความสามารถทางภาษาด้านการอ่านและการเขียนของเด็กปฐมวัยที่มีความบกพร่องทางการได้ยินระดับหูตึง หลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอนฮาร์ทส (HEARTS Instructional Model) ร่วมกับการทำหนังสือ ขนาดใหญ่ (Big Book) สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๕
จากการศึกษาข้อมูลผลการวัดและประเมินผลพัฒนาการของเด็กปฐมวัย ชั้นอนุบาลปีที่ ๓/๖ ปีการศึกษา ๒๕๖๒ โรงเรียนเทศบาลแม่เมาะ พบว่า ความพร้อมด้านสติปัญญาการใช้ภาษาสื่อสารได้เหมาะสมของเด็กที่มีผลการประเมินในระดับดีเรียงตามลำดับจากมากไปหาน้อย ดังนี้ การอ่านหนังสือภาพ นิทานหลากหลายประเภท/รูปแบบ คิดเป็นร้อยละ ๘๖.๐๐ การสังเกตตัวอักษรในชื่อของตนหรือคำคุ้นเคย คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๕๐ การพูดแสดงความคิด ความรู้สึกและความต้องการ และการเขียนร่วมกันตามโอกาส และการเขียนอิสระ คิดเป็นร้อยละ ๘๐.๐๐ การฟังและปฏิบัติตามคำแนะนำ คิดเป็นร้อยละ ๗๙.๕๐ การเกี่ยวกับผู้อื่น เกี่ยวกับประสบการณ์ของตนเองหรือพูดเรื่องราวเกี่ยวกับตนเอง คิดเป็นร้อยละ ๗๗.๕๐ และลำดับสุดท้ายการรอจังหวะที่เหมาะสมในการพูด คิดเป็นร้อยละ ๗๒.๕๐ ซึ่งในภาพรวมอยู่ในเกณฑ์ระดับคุณภาพดี
จากความสำคัญดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจนำรูปแบบการเรียนการสอนฮาร์ท (HEARTS Model) มาใช้เพื่อส่งเสริมสามารถทางด้านภาษาให้กับเด็กปฐมวัยในโรงเรียนเทศบาลแม่เมาะ สังกัดกองการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม เทศบาลตำบลแม่เมาะ จังหวัดลำปาง เพื่อให้เกิดทักษะการเรียนรู้นวัตกรรมสิ่งใหม่ด้วยกิจกรรมต่างๆ ผ่านการลงมือปฏิบัติด้วยตนเองและคิดนำไปสู่การพัฒนาความสามารถทางภาษาของเด็กปฐมวัยต่อไป
๒. จุดประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
๒.๑ เพื่อศึกษาความสามารถทางด้านภาษาของเด็กปฐมวัย หลังการใช้รูปแบบการเรียนการสอนฮาร์ท (HEARTS Model) ชั้นอนุบาลปีที่ ๓/๖ จำนวน ๒๖ คน
๒.๒ เพื่อเปรียบเทียบความสามารถทางด้านภาษาของเด็กปฐมวัย ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ การเรียนการสอนฮาร์ท (HEARTS Model)
๓. ดำเนินการตามแผนการจัดการเรียนการสอนฮาร์ท (HEARTS Model) เพื่อส่งเสริมความสามารถทางด้านภาษาของเด็กปฐมวัย ทั้งสิ้น ๒๔ แผน โดยกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้ ขั้นตอน การดำเนินกิจกรรม สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดและการประเมินผล ขั้นตอนในการดำเนินกิจกรรม มี ๕ ขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนที่ ๑ ขั้นการเตรียมเรื่อง เด็กและครูสร้างข้อตกลงร่วมกันในการทำกิจกรรม ครูนำเข้าสู่กิจกรรมโดยการสนทนาพูดคุยเกี่ยวกับนิทานคำพื้นฐานเอนิเมชั่น ให้เด็กสังเกตคำที่มีสีแดงที่ปรากฏในนิทาน ให้เด็กนั่งในท่าที่สบายผ่อนคลาย
ขั้นตอนที่ ๒ ขั้นการเล่าเรื่อง ครูเปิดนิทานคำพื้นฐานเอนิเมชั่นให้เด็กดู ๑ รอบ จากนั้นให้เด็กบอกคำที่เด็กสังเกตเห็นที่เป็นตัวหนังสือสีแดง ให้ตัวแทนเด็กออกมาหยิบคำพื้นฐานที่ครูเตรียมไว้หน้าชั้นเรียน จำนวน ๕ คำศัพท์ เลือกตามความสนใจของเด็กทีละ ๑ คำศัพท์ จากนั้นครูอ่านให้เด้กฟังก่อน ๑ รอบแล้วจึงให้เด็กฝึกอ่านคำศัพท์พื้นฐานตามครูทีละคำ
ขั้นตอนที่ ๓ ขั้นการสรุป เด็กและครูร่วมกันเนื้อหาของนิทาน ตัวละครและให้ตัวแทนเด็กออกมาหน้าชั้นเรียนได้แสดงบทบาทสมมติเกี่ยวกับนิทานนั้นๆ ครูแจกบัตรคำศัพท์พื้นฐานให้เด็ก คนละ ๑ ใบ เล่มเกมจับคู่ จับกลุ่มคำจากวงล้อคำศัพท์พื้นฐาน จากนั้นให้เด็กเข้ากลุ่มกลุ่มละ ๕ คน ฝึกเขียนคำศัพท์พื้นฐานจากเกมเลขนี้เป็นคำของใคร เมื่อเด็กทำกิจกรรมเสร็จ ครูให้เด็กออกมาหน้าชั้นเรียนทีละกลุ่มทบทวนการอ่านคำศัพท์พื้นฐานที่ฝึกเขียนทีละคำ
ขั้นตอนที่ ๔ ขั้นการสร้างความรู้ใหม่ โดยครูเปิดโอกาสให้เด็กได้เลือกวัสดุอุปกรณ์และออกแบบความประทับใจเกี่ยวกับนิทานที่ฟัง อ่านและเขียนร่วมกัน จากกิจกรรมการปั้นดินน้ำมัน การฉีก ตัด ปะ กระดาษและการประดิษฐ์ชิ้นงาน ทำให้เด็กได้เรียนรู้กระบวนการทำงานเป็นกลุ่มร่วมกับผู้อื่นอย่างมีความหมาย
ขั้นตอนที่ ๕ ขั้นการเสนอผลงานและการอ่านร่วมกัน เป็นการเปิดโอกาสให้เด็กออกมานำเสนอผลงานที่ได้ทำร่วมกัน เด็กได้ฝึกการเขียนคำบรรยายภาพผลงานของตนเอง สังเกตเชื่อมโยงภาพกับคำก่อให้เกิดความจำความหมายของคำศัพท์พื้นฐานได้ดีในระยะยาว