ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน
และการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
ผู้วิจัย นางสาวโชติมา ไชยนิจ ตำแหน่ง วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก สำนักการศึกษา เทศบาลนครขอนแก่น
ปีที่พิมพ์ 2562
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะ การอ่าน และการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) วัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน สภาพและปัญหาการจัดการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย 2) สร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 3) ทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 4) ประเมินผลการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1/5 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก สำนักการศึกษา เทศบาลนครขอนแก่น จำนวน 32 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบวิเคราะห์เอกสาร แบบสัมภาษณ์ รูปแบบการจัดการเรียนรู้ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการวิเคราะห์เอกสาร สัมภาษณ์ครูผู้สอน ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลัง การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ และสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน การวิเคราะห์ข้อมูลใช้ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบค่า t
ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐานสภาพและปัญหาการจัดการเรียนรู้และการพัฒนาทักษะ การอ่านและการเขียนภาษาไทย พบว่า ครูสอนแบบบรรยาย ขาดเทคนิคการสอน และขาดสื่อที่เร้าความสนใจ นักเรียนอ่านและจดบันทึกตามครู เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ปฏิบัติน้อย หลักการ แนวคิด ทฤษฎีที่เหมาะสมกับการจัดการเรียนรู้ ได้แก่ ทฤษฎีการเรียนรู้ของไวกอทสกี ที่มีหลักการพื้นฐานคือ 1) ผู้เรียนเป็นผู้ที่ลงมือกระทำ (Active) และจะต้องมีส่วนในการเรียนรู้ 2) การเรียนรู้ทุกชนิดเกิดจากการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคม ถือว่าสังคมเป็นแหล่งสำคัญของการเรียนรู้ และพัฒนาเชาวน์ปัญญา 3) ผู้เรียนจะสามารถเรียนรู้ได้ดีและมากขึ้น ถ้าหากมีคนช่วย 4) ผู้เรียนทุกคนมี The Zone of Proximal Development หรือขอบเขตบริเวณความใกล้เคียงพัฒนาเชาวน์ปัญญาของผู้เรียน 5) การพูดอย่างรู้คิดภายในหรือการคิดในใจ (Inner Speech) มีความสำคัญในการเรียนรู้
2. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีชื่อว่า ARACC Model มีขั้นตอน การเรียนรู้ 5 ขั้นตอน ประกอบด้วย 1) ขั้นเร้าความสนใจ (Attention : A) 2) ขั้นฝึกการอ่าน (Reading : R) 3) ขั้นลงมือทำกิจกรรม (Activity : A) 4) ขั้นสร้างความรู้ (Construction : C) และ 5) ขั้นสรุป (Conclusion : C) และผลการประเมินความถูกต้อง ครอบคลุม ความเหมาะสม ความเป็นไปได้ และมีประโยชน์ของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ อยู่ในระดับมากที่สุดทุกด้าน
3. รูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎีไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียนภาษาอังกฤษ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีประสิทธิภาพ (E1/E2) เท่ากับ 83.47/83.91 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ 80/80
3.1 นักเรียนผลมีผลการทดสอบการอ่านภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5
3.2 นักเรียนผลมีผลการทดสอบการเขียนภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5
3.3 นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนภาษาไทย หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความพึงพอใจต่อรูปแบบการจัดการเรียนรู้ตามทฤษฎี ไวกอทสกี เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย โดยรวมอยู่ในระดับมาก ( = 2.62, S.D.= 0.17)