วิจัยในชั้นเรียน
เรื่อง การส่งเสริมเจตคติในการส่งงานของนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านถนน
ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
กลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม
ผู้วิจัย
นายมะสานูสี อาลี
ครูชานาญการ โรงเรียนบ้านถนน
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2
บันทึกข้อความ
ส่วนราชการ โรงเรียนบ้านถนน อาเภอมายอ จังหวัดปัตตานี
ที่ ศธ 04092.052 /2563 วันที่ 1 ธันวาคม 2563
เรื่อง วิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
เรียน ผู้อานวยการโรงเรียนบ้านถนน
ตามที่ ข้าพเจ้า ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบทาวิจัยในชั้นเรียน ข้าพเจ้าเลือกทาวิจัยในชั้นเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประจาภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
บัดนี้การปฏิบัติงานวิจัยในชั้นเรียน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ได้ดาเนินการเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว จึงขอรายงานผลการดาเนินงานวิจัยในชั้นเรียน ตามเอกสารตามที่แนบมา
จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ
ลงชื่อ
(นายมะสานูสี อาลี)
ครูชานาญการ โรงเรียนบ้านถนน
ความคิดเห็นของผู้อานวยการโรงเรียน
............................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................................
ลงชื่อ
(นายสุวิทย์ โรจนสุวรรณ)
ผู้อานวยการโรงเรียนบ้านถนน
สารบัญ
บทที่ หน้า
1 บทนา
.
. 1
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
.
.. 1
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
..
1
1.3 ขอบเขตการวิจัย
. 2
1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ
.
.
. 2
1.5 ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
.
.
2
2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
.
.
. 3
2.1 ความหมายของการวิจัย
..
. 3
2.2 การวิจัยในชั้นเรียน
.
.
4
2.3 ความหมายเจตคติ
... 5
2.4 ลักษณะของเจตคติ
.
.
5
2.5 องค์ประกอบของเจตคติ
.
.
.
5
3. วิธีการดาเนินงาน
.
7
3.1 ประชากรกลุ่มตัวอย่าง
.
7
3.2 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
.
.. 7
3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
..
7
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล.............................................................................................. 7
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้............................................................................... 7
4. ผลการวิจัยและอภิปรายข้อมูล
..
. 8
4.1 ผลการวิจัย
.................................... 8
4.2 อภิปรายผล
. 9
5. สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ
.
10
5.1 สรุปผลการวิจัย
. 10
5.2 ข้อเสนอแนะ
.. 11
บรรณานุกรม
1
บทที่ 1
บทนา
1.1 ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
ความเจริญก้าวหน้าของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา ประเทศไทยเป็นประเทศหนึ่งที่อยู่ท่ามกลางกระแสการเปลี่ยนแปลงนั้น เพื่อให้สังคมไทยก้าวทันโลกยุคโลกาภิวัฒน์ สังคมไทยต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดในการปฏิรูปการศึกษา การพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชากรในการสร้างนิสัย ให้คิดเป็น ทาเป็น แก้ปัญหาเป็น มีความใฝ่รู้ ใฝ่เรียน มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ให้เป็นคนยุคใหม่ ก้าวทันโลกแห่งความเจริญในปัจจุบันและอนาคต สามารถปรับตัว ให้อยู่รอด ก้าวทัน ก้าวหน้า ก้าวนา การเปลี่ยนแปลงทางสังคมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ. ศ. 2542 เป็นกฎหมายทางการศึกษาฉบับแรกของประเทศไทย ซึ่งให้ความสาคัญเรื่องต่าง ๆ เช่น มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ และสติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิตที่สามารถอยู่ร่วม กับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ในหมวด ตั้งแต่มาตรา 22 30 ได้กล่าวถึง หัวใจการปฏิรูปการเรียนรู้ที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ หรือเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้
จะเห็นได้ว่า กระแสของการปฏิรูปการศึกษาได้ส่งผลการปฏิบัติงานของคนทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษา เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพและบรรลุเป้าหมายตามหลักสูตรการจัดการศึกษา ประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ระบุไว้ในมาตรา 24(5) มีข้อความสาคัญ ให้ครูสามารถใช้การวิจัยเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ และมาตร 30 ระบุโดย สรุปว่าให้สถานศึกษาส่งเสริมให้ผู้สอน สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ ที่เหมาะสมกับผู้เรียน ในแต่ละระดับการศึกษา ดังนั้นครูเป็นบุคลากร
จากเหตุผลดังกล่าว ทาให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาเพื่อแสวงหาแนวทางในการแก้ไขปัญหาของการไม่ส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และภาษาไทย เพื่อพัฒนาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมส่งเสริมความรับผิดชอบ การจัดกระบวนการเรียนการสอน ให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูง
1.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อเสริมสร้างเจตคติในการส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพิ่มจานวนมากขึ้น
2
1.3 ขอบเขตการวิจัย
1.ประชากรที่ใช้ในการวิจัย เป็นนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2563
ของโรงเรียนบ้านถนน จานวน 31 คน
2.ระยะเวลา คือ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
1.4 นิยามศัพท์เฉพาะ
1.เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกที่แสดงออกมาในทางบวก หรือทางลบ เช่น ความพอใจ
ความไม่พอใจ ในการส่งงาน ความรับผิดชอบต่องานที่ได้รับมอบหมาย
2.งาน หมายถึง แบบฝึกหัดที่ครูให้ในชั่วโมงเรียน แบบฝึกหัดการบ้าน ใบงาน รวมถึง
การทางานเป็นกลุ่มหรือชิ้นงาน
1.5 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากงานวิจัย
1.ทาให้ครูผู้สอนทราบเจตคติของนักเรียนที่มีต่อพฤติกรรมในการส่งงานกลุ่มสาระการเรียนการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
2.เป็นแนวทางให้ครูผู้สอนในรายวิชาอื่น ๆ ได้ศึกษาและนาไปสารวจเจตคติทางนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในเรื่องของเจตคติต่อการส่งงาน
3
บทที่ 2
เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2.1 ความหมายของการวิจัย
ความหมายของการวิจัย คือ การศึกษาค้นคว้าอย่างมีระบบระเบียบเพื่อทาความเข้าใจปัญหาและแสวงหาคาตอบ เป็นกระบวนที่อาศัยวิธีการทางคณิตศาสตร์ เป็นหลัก ทั้งนี้เพื่อเป็นจุดหมายอย่างใดอย่างหนึ่ง (ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล: 2544: 21-22) คือ
2.1.1 เพื่อค้นพบความรู้ ความจริง ซึ่งอาจจะเป็น
- การค้นพบความรู้ใหม่ที่เพิ่มพูนขึ้นจากองค์ความรู้ที่มีอยู่แล้ว
- การพัฒนา (ตรวจสอบ ประเมิน ขยาย) ความรู้ที่ได้ค้นพบมาก่อนแล้ว
2.1.2 เพื่อนาความรู้ที่ค้นพบมาก่อนแล้วไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม
เนื่องจากงานวิจัยเป็นกระบวนการศึกษาค้นคว้าที่อาศัยวิธีการทางคณิตศาสตร์ เป็นหลัก จึงมีผู้ใช้คาว่า scientific research ซึ่งเป็นการเน้นวิธีการแสวงหาความรู้ตามระเบียบวิธีการทางคณิตศาสตร์ ถึงแม้ว่าการจาแนกขั้นตอนของกระบวนการวิจัยไว้ต่างกันในรายละเอียดแต่โดยภาพรวมมีองค์ประกอบเหมือนกัน ซึ่งจาแนกเป็น 4 ขั้นตอนใหญ่ ๆ (ผ่องพรรณ ตรัยมงคลกูล.2544:21-22) ดังนี้
1. การนิยามปัญหา (problem identification / definition)
2. การวางแผนการวิจัย (planning)
3. การรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล (data collection and analysis)
4. การสรุปผล (conclusion)
การวิจัยทางการศึกษาเริ่มต้นในช่วงศตวรรษที่ 19 โดยการประยุกต์จากการวิจัยเชิงทดลองในสาขาคณิตศาสตร์ ตามรูปแบบของ Fisher ที่เรียกว่า The Fisherian Model (Hopkins, 1994:39) ตามประวัติกล่าวถึง William Rice ซึ่งเป็นผู้หนึ่งในกลุ่มผู้บุกเบิกวิจัยทางการศึกษา Rice ได้ใช้วิธีการทดลองเพื่อศึกษาเปรียบเทียบว่านักเรียนที่ได้รับการฝึกฝนสะกดคา วันละ 40 นาที จะมีผลสัมฤทธิ์ในการสะกดคาสูงกว่าที่ไม่ได้รับการฝึกฝนเลยหรือไม่ การวิจัยของ Rice นับว่าเป็นวิธีการหาคาตอบที่ใหม่มากในยุคนั้น
ปัจจุบัน การวิจัยมีผลอย่างมากในการให้คาตอบสิ่งต่าง ๆ ในการจัดการศึกษาในด้าน การวิจัยพื้นฐาน (basic research) เพื่อเพิ่มพูนความรู้/ทฤษฏีทางการศึกษา และในด้านการวิจัยวัตถุประสงค์ (applied research) ที่มุ่งปรับใช้ความรู้เพื่อประสิทธิภาพทางการศึกษา
พัฒนาการในวิทยาการวิจัย ส่งผลให้มีรูปแบบการวิจัยหลากหลายที่เหมาะสมกับสาขาทางซึ่งอิงระบบวิธีการทางคณิตศาสตร์อย่างเต็มรูป กับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซึ่งอิงระบบวิธีการทางคณิตศาสตร์อย่างเต็มรูป กับการวิจัยเชิงคุณภาพ (Qualitative research) ซึ่งปฏิเสธแนวคิดและวิธีการทางคณิตศาสตร์อย่างเต็มรูปแบบที่ใช้ในการวิจัยทางด้านคณิตศาสตร์ ทั้งสองแนวได้แตกแขนงเป็นรูปแบบการวิจัยต่าง ๆ อีกหลายรูปแบบ (ผ่องพรรณ และสุภาพ.2541:1-12)
4
2.2 การวิจัยในชั้นเรียน
ต้นศตวรรษที่ 20 John Dewey นักปราชญ์นาแนวคิดเชิงพัฒนาการ ได้กล่าวถึง การคิดเชิงสะท้อน (reflective thingking) ของครู ซึ่งเป็นรากฐานสาคัญของแนวคิดครูกับการวิจัยในปัจจุบัน แต่ประกายความคิดนี้ไม่ได้รับการสานต่อ จนกระทั่งหลายศตวรรษต่อมาเกิด ความดื่นตัวเรื่องการวิจัยเชิงปฏิบัติการขึ้นนักการศึกษาจึงได้ให้ความสนใจเรื่องของการวิจัยในชั้นเรียนได้กล่าวถึงความเคลื่อนไหวในการปฏิรูปหลักสูตรของโรงเรียนที่ประเทศอังกฤษตั้งแต่ช่วงปี 1960 ว่าอาจถือเป็นจุดเริ่มต้นของแนวคิดครูกับการวิจัย กล่าวคือ ในการปฏิรูปหลักสูตรในระยะนั้น ครูได้ใช้กระบวนการของการคิดเชิงสะท้อน ในการทบทวนทฤษฏีและแนวปฏิบัติทางการศึกษาและการนาไปใช้ อยู่ในโรงเรียน
วิวัฒนาการของการวิจัยเชิงปฏิบัติการและการนาไปใช้ในวงการศึกษา สรุปได้ดังนี้ (McCutcheon and jung 1990:144-151;Mckeman,1996:3-14;knowies,Coles and esswood,1994:11)
- ในช่วง ค.ศ. 1910 1938 John Dewey ส่งเสริมความคิดเชิงสะท้อนให้กับครู และริเริ่มการประยุกต์ใช้วิธีการทางคณิตศาสตร์เพื่อแก้ปัญหา
- การวิจัยเชิงปฏิบัติการ (action research) เริ่มใช้ครั้งแรกโดยนักจิตวิทยาสังคมชื่อ Kurt Lewn ตั้งแต่ช่วงปี 1940s ในการเสนอแนวคิดเรื่องพลวัตการเปลี่ยนแปลงทางสังคมโดยผนวกทฤษฏีเชิงสังคม (social theory) ให้เข้ากับการปฏิบัติจริงในสังคม (social action)
- ต่อมาในช่วงปี 1950s นักการศึกษาเริ่มให้ความสนใจแนวทางของการวิจัยเชิงปฏิบัติการ Stephen Corey นักปราชญ์การศึกษาแนวปฏิรูป เสนอแนวคิดเรื่องการวิจัยปฏิบัติเชิงโรงเรียน โดยสนับสนุนให้ครูเป็นนักวิจัยในชั้นเรียนของตนควบคู่กับการเป็นผู้ปฏิบัติการสอน แต่แนวคิดดังกล่าวนี้ยังไม่แพร่หลายในวงการศึกษาในขณะนั้น
- จุดเริ่มที่ทาให้แนวคิดเป็นรูปธรรมเกิดช่วงปฏิรูปการศึกษาในยุโรป โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษในช่วงปี 1960s ได้เกิดการวิพากษ์ช่องว่างระหว่างทฤษฏีและแนวคิด ในการพัฒนาหลักสูตรและการสอน กับการปฏิบัติจริงในโรงเรียน L.Stenhouse (1977) ได้สนับสนุนแนวคิดว่าครูควรมีบทบาทในการพัฒนาหลักสูตรของตน โดยมีการวิจัยในโรงเรียนและดาเนินการเป็นคณะวิจัยร่วมระหว่างครูและนักศึกษา (collaborative research) แม้จะยังไม่ใช่การวิจัยที่ริเริ่มโดยครูและยังไม่ปฏิบัติกันแพร่หลายในวงกว้างแต่ถือว่าเป็นจุดแนวคิด ครู-นักวิจัย ของ Stenhouse
- Carr และ Kemmis เป็นผู้ริเริ่มนาแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการไปใช้อย่างจริงจัง ในโรงเรียนที่ประเทศออสเตรเลีย ในระยะต้นของช่วงปี 1980 ตามแนวคิดทฤษฏี Critical Social Theory ของ Habermas (1972)
- แนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติในชั้นเรียนแพร่หลายจากประเทศอังกฤษและออสเตรเลีย สู่สหรัฐอเมริกา และเป็นแนวโน้มสาคัญในประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่ช่วงปลายของ 198
5
วงการศึกษาในประเทศไทย รับแนวคิดการวิจัยเชิงปฏิบัติการในชั้นเรียนมาใช้อย่างสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวในการพัฒนาทางวิชาชีพของครู โดยส่งเสริมให้ครูทาการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนในขณะเดียวกันที่เพื่อเป็นวิธีทางหนึ่งในการพัฒนาคุณภาพเชิงวิชาการและความก้าวหน้าในอาชีพของครูอีกด้วย(ผ่องพรรณ ตรัยมลคลกูล, 2544:3-5)
2.3 ความหมายของเจตคติ
เจตคติ หมายถึง ความรู้สึกที่แสดงออกมาในทางบวก หรือทางลบ เช่น พอใจ ไม่พอใจ เห็น
ด้วย ไม่เห็นด้วย ชอบหรือไม่ชอบต่อบุคคลหรือสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เจตคติ หมายถึง ความรูสึกโน้มเอียงของจิตใจที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือ เรื่องใด เรื่องหนึ่ง
2.4 ลักษณะของเจตคติ
กฤษณา ศักดิ์ศรี ( 2530 :185 188 ) ได้กล่าวถึงลักษณะที่สาคัญของเจตคติ สรุปได้ดังนี้
1. เจตคติเกิดจากการเรียนรู้หรือประสบการณ์ของบุคคลที่ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ติดตัวมาแต่กาเนิด
2. เจตคติเป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม สถานการณ์และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป
3.เจตคติเป็นตัวกาหนดพฤติกรรมทั้งภายนอกและภายใน เราจะสังเกตได้ว่าบุคคลมีเจต
คติในทางยอมรับหรือไม่ยอมรับ โดยสังเกตพฤติกรรมที่บุคคลนั้นแสดงออกมา
4. เจตคติเป็นสิ่งซับซ้อน มีที่มาสลับซับซ้อน เพราะเจตคติขึ้นอยู่กับหลายประการ เช่นประสบการณ์การรับรู้ ความรู้สึก ความคิดเห็น อารมณ์ สิ่งแวดล้อม ฯลฯ ฉะนั้นจึงผันแปรได้
5. เจตคติเกิดจากการเลียนแบบ สามารถถ่ายทอดไปสู่บุคคลอื่นๆได้
6. ทิศทางของเจตคติ มี 2 ทิศทาง คือ สนับสนุนหรือต่อต้านและปริมาณของเจตคติมีตั้งแต่พอใจอย่างยิ่ง ปานกลาง จนถึงไม่พอใจอย่างยิ่ง เจตคติของบุคคลแต่ละคนจะมีความรุนแรงต่างกันไป
7. เจตคติอาจเกิดขึ้นมาจากความมีจิตสานึก หรือจากจิตไร้สานึกก็ได้
8. เจตคติมีลักษณะคงทนถาวรพอสมควร กว่าบุคคลจะมีเจตติต่อสิ่งใดได้ต้องใช้เวลานาน ใช้ความคิดลึกซึ้ง พิจารณาละเอียดรอบคอบแล้จึงเกิดเจตคติต่อสิ่งนั้น เจตคติอาจเกิดเปลี่ยนแปลงได้ แต่ไม้ได้หมายความว่าจะเปลี่ยนได้ในเวลาอันรวดเร็ว
9. บุคคลแต่ละบุคคลย่อมมีเจตคติต่อบุคคล สถานการณ์สิ่งเดียวกัน แตกต่างกันได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประสบการณ์ของบุคคลนั้น
2.5 องค์ประกอบของเจตคติ
ประภาเพ็ญ สุวรรณ ( 2526 : 34 ) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบของเจตคติไว้ดังนี้
6
1. องค์ประกอบด้านพุทธปัญญา หรือองค์ประกอบด้านความคิด ( Cognitive component)
ได้แก่ ความคิดซึ่งเป็นองค์ประกอบที่มนุษย์ใช้ในการวัด ความคิดนี้อาจอยู่ในรูปใดรูปหนึ่ง ที่ต่างกันขึ้นอยู่กับความคิดของแต่ละบุคคลที่มีต่อสิ่งเร้า
2. องค์ประกอบทางด้านท่าทีความรู้สึก ( Affective component ) เป็นส่วนประกอบใน
ด้านอารมณ์ความรู้สึก ซึ่งเป็นตัวเร้าความคิดอีกต่อหนึ่ง ถ้าบุคคลมีความรู้สึกที่ดีหรือไม่ดี ในขณะที่คิดสิ่งใดสิ่งหนึ่ง แสดงว่าบุคคลนั้นมีความรู้สึกในด้านบวก หรือด้านลบตามลาดับต่อสิ่งนั้น
3. องค์ประกอบด้านปฏิบัติ หรือองค์ประกอบด้านพฤติกรรม ( Beharioral component)
เป็นองค์ประกอบที่มีแนวโน้มในทางปฏิบัติ ถ้ามีสิ่งเร้าที่เหมาะสมจะเกิดการปฏิบัติหรือปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่ง
7
บทที่ 3
วิธีการดาเนินการวิจัย
การวิจัยเรื่อง การส่งเสริมเจตคติ ในการส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยมีรายละเอียดเกี่ยวกับการดาเนินการวิจัยดังนี้
3.1 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียนบ้านถนน จานวน 31 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2563 ของโรงเรียนบ้านถนน อาเภอมายอ จังหวัดปัตตานี
3.2 ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย
ระยะเวลาที่ใช้ในการวิจัย ตลอดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
3.3 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1.การส่งเสริมเจตคติโดยการใช้คาพูด เสริมแรง ให้คาชมเชย
2.การส่งเสริมเจตคติ โดยการใช้สัญลักษณ์ (ตัวปั้มการ์ตูน)
3.การส่งเสริมเจตคติ เป็นรายบุคคล การให้รางวัล
3.4 การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเองกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 31คน โดยจัดทาตารางส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย และจัดทาเป็นตารางกราฟแสดงข้อมูลเปรียบเทียบ
3.5 การวิเคราะห์ข้อมูลและสถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
3.5.1 การวิเคราะห์ข้อมูล ผู้วิจัยดาเนินการดังต่อไปนี้
(1) ทาตารางบันทึกการส่งงาน แบบฝึกหัดในเวลา แบบฝึกหัดการบ้าน ใบงาน รวมถึงผลงานเป็นกลุ่ม ในช่วงต้นภาคเรียนที่ 1 ของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
(2) รวบรวมหาเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ
(3) บันทึกการส่งงานอย่างต่อเนื่อง หลังจากการส่งเสริมเจตคติ และนามาหาเป็นค่าเฉลี่ยร้อยละ
(4) นาค่าเฉลี่ยร้อยละของการส่งงานช่วงต้นภาคเรียนที่ 1 กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยมาเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของการส่งงาน ช่วงปลายภาคเรียนที่ 1
8
บทที่ 4
ผลการวิจัยและอภิปรายข้อมูล
การวิจัยครั้งนี้ เพื่อส่งเสริมเจตคติในการส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านถนน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล และวิเคราะห์ข้อมูลจะนาเสนอผลการวิจัยและอภิปรายผลต่อไปดังนี้
4.1 ผลการวิจัย
แผนภูมิที่ 1 บันทึกการส่งงานในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนได้รับการส่งเสริมเจตคติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
ตารางแสดงการส่งงานของนักเรียนระดับชั้น ป.6 ก่อนเสริมเจตคติ
ชั้น
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
จานวนนักเรียนที่ส่งงาน
ร้อยละ
จานวนนักเรียนที่ส่งงาน
ร้อยละ
ป.6
14
45.16
13
41.93
จากตารางที่ 1 การส่งงานของนักเรียน ป.6
ในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ คิดเป็นร้อยละ 45.16
ในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย คิดเป็นร้อยละ 41.93
แผนภูมิที่ 2 แผนภูมิเปรียบเทียบบันทึกการส่งงานในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนชั้น ป. 6 หลังจากได้รับการส่งเสริมเจตคติ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
ตารางแสดงการส่งงานของนักเรียนระดับชั้น ป.6 หลังเสริมเจตคติ
ชั้น
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
จานวนนักเรียนที่ส่งงาน
ร้อยละ
จานวนนักเรียนที่ส่งงาน
ร้อยละ
ป.6
22
70.96
20
64.51
จากตารางที่ 2 การส่งงานในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีพฤติกรรมเปลี่ยนไปในทางบวก คือเมื่อคิดเป็นร้อยละการส่งงาน หลังได้รับการส่งเสริมเจตคติ สูงกว่าก่อนได้รับการส่งเสริมเจตคติสูงขึ้น
กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์จากร้อยละ 45.16 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 70.96
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจากร้อยละ 41.93 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 64.51
9
4.2 อภิปรายผล
การส่งเสริมเจตคติเพื่อกระตุ้นให้นักเรียนส่งงานตามที่ครูในได้มอบหมายงานหรือแบบฝึกหัดให้นักเรียนทาส่งครู เพื่อเป็นการตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนว่า นักเรียนมีความเข้าใจมากน้อยเพียงใด พบว่าหลังจากการที่ครูผู้สอนทั้ง 2 วิชาให้การเสริมแรงเป็นการให้คาพูดชมเชย การให้รางวัลหรือสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในสมุดงานของนักเรียน พบว่านักเรียน มีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปจากเดิม คือมีจานวนนักเรียนส่งงานเพิ่มมากขึ้น
10
บทที่ 5
สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ
การวิจัยเรื่อง การส่งเสริมเจตคติในการส่งงานของนักเรียนระดับประถมศึกษาปีที่ 6 จานวน 31 คน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ผู้วิจัยได้ดาเนินการวิจัย สรุปผลการวิจัย และข้อเสนอแนะ จะนาเสนอรายละเอียดดังนี้
5.1 สรุปผลการวิจัย
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
เพื่อเสริมสร้างเจตคติในการส่งงานของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพิ่มจานวนมากขึ้น
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563 ของโรงเรียนบ้านถนน จานวน 31 คน
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้การวิจัย คือ นักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา
2563 ของโรงเรียนบ้านถนน จานวน 31 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
1.การส่งเสริมเจตคติโดยการใช้คาพูด เสริมแรง ให้คาชมเชย
2.การส่งเสริมเจตคติ โดยการใช้สัญลักษณ์ (ตัวปั้มการ์ตูน)
3.การส่งเสริมเจตคติ เป็นรายบุคคล การให้รางวัล
การเก็บรวบรวมข้อมูล
การเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดาเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตัวเองกับกลุ่มตัวอย่าง จานวน 31 คน โดยผู้วิจัยได้มีแบบบันทึกการส่งงานเป็นรายบุคคลของนักเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2563
การวิเคราะห์ข้อมูล
1.การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ ก่อนการส่งเสริมเจตคติ
2.การหาค่าเฉลี่ยร้อยละ หลังการส่งเสริมเจตคติ
3.นาค่าเฉลี่ยเปรียบเทียบความก้าวหน้าในรูปกราฟเพื่อใช้ในการแปลความหมาย
11
ผลการวิเคราะห์ข้อมูล
1.การส่งงาน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียนระดับชั้น ป.6 ก่อนการส่งเสริมเจตคติพบว่าอยู่ในเกณฑ์ ร้อยละ 50
2.ค่าเฉลี่ยของการส่งงานหลังการส่งเสริมเจตคติพบว่าสูงขึ้นกว่าเดิม ในทั้ง 2 วิชา ทาให้สรุปได้ว่า การที่ครูผู้สอนได้ศึกษานักเรียนเป็นรายบุคคลเพื่อถามถึงสาเหตุการไม่ส่งงานและให้แรงเสริมเป็นเจตคติต่าง ๆ ทั้งในด้านคาพูดเสริมแรง การให้สัญลักษณ์ในสมุดแบบฝึกหัด พบว่านักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีการส่งงานเพิ่มจานวนมากขึ้นในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ก่อนได้การส่งเสริมเจตคติคิดเป็นร้อยละ 45.16 หลังจากได้รับการส่งเสริมเจตคติคิดเป็นร้อยละ 70.96 และในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยก่อนได้การส่งเสริมเจตคติคิดเป็นร้อยละ 41.93 หลังจากได้รับการส่งเสริมเจตคติคิดเป็นร้อยละ 64.51
ข้อเสนอแนะ
1. ครูผู้สอนในวิชาอื่น ๆ ควรมีการสารวจถึงเจตคติของนักเรียนที่มีต่อพฤติกรรมในการส่งงานของนักเรียน เพื่อตรวจสอบความเข้าใจของนักเรียนเป็นรายบุคคล
2. ในการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ครูผู้สอนต้องเอาใจใส่อย่างใกล้ชิด เปิดโอกาสให้นักเรียนได้ซักถามข้อสงสัยในขณะทาการเรียนการสอนให้มากที่สุด
3. ควรมีการเสริมแรง ยกย่องชมเชยและให้กาลังใจกับนักเรียนอย่างสม่าเสมอในขณะที่ทาการเรียนการสอน