บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ เรื่อง ระบบการใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 วัตถุประสงค์การวิจัยได้แก่ 1)เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ระบบการใช้งานของคอมพิวเตอร์เบื้องต้นชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80 / 80
2)เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ระบบการใช้งานของคอมพิวเตอร์เบื้องต้น 3)เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ระบบการใช้งานของคอมพิวเตอร์เบื้องต้น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ระบบการใช้งานของคอมพิวเตอร์เบื้องต้น กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ ผู้เรียนระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ 4/3 โรงเรียนวัดพิกุลเงินองค์การบริหารส่วนจังหวัดนนทบุรี ภาคเรียนที่ 2 ปีการวิจัย 2563 จำนวน 1 ห้องเรียน รวม 39 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive sampling) เฉพาะผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 ที่เรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี กับผู้วิจัยในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2563 เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ 1)แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 10 แผน ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.82 2)ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 10 ชุด ค่าความเหมาะสมเท่ากับ 4.71 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 20 ข้อ กำหนดเอาค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.8959 4)แบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียน จำนวน 18 ข้อ กำหนดเอาค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.20-0.80 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.9257 เก็บรวบรวมข้อมูลโดยการทดสอบก่อนเรียน (Pre-test) ทดสอบย่อยก่อนและหลังเรียน ทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Post-test) ใช้แบบสอบถามสอบถามผู้เรียนเพื่อศึกษาความพึงพอใจ วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ IOC วิเคราะห์ค่าความสอดคล้องของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้สถิติของแบรนแนน (Brennan) หาค่าอำนาจจำแนก (B) ค่าความยากง่าย (p) ของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้สถิติตามวิธีของโลเวท (Lovett) หาความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ใช้สถิติ E1/E2 หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้ t-test ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักเรียน ใช้ E.I. วิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้สถิติ E1/E2 หาประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้ t-test ทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเปรียบเทียบความพึงพอใจของนักเรียน ใช้ E.I. วิเคราะห์ดัชนีประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้ ใช้วิธี Itemtotal Correlation สูตรสหสัมพันธ์อย่างง่ายของ Pearson หาค่าอำนาจจำแนกของแบบสอบถามความพึงพอใจ และใช้ค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha Coefficient) ของครอนบาค (Cronbach) หาค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับของแบบสอบถามความพึงพอใจ และใช้สถิติพื้นฐานวิเคราะห์ค่าเฉลี่ย ( ) ร้อยละ (P) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ผลการวิจัย พบว่า
1. ประสิทธิภาพของชุดกิจกรรมการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง ระบบการใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้นเท่ากับ 85.74/83.46 และโดยรวมประสิทธิภาพของแผนการจัดการเรียนรู้มีค่าเท่ากับ 82.56 เมื่อพิจารณาเป็นรายแผน พบว่า แผนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดได้แก่แผนที่ 3 ( =8.64) รองลงมาได้แก่แผนที่ 4 ( =8.44) ส่วนแผนที่มีค่าประสิทธิภาพต่ำสุดได้แก่ 5 ( =8.03) ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดเอาไว้
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 ได้คะแนนก่อนเรียนและหลังเรียน เฉลี่ยเท่ากับ 7.36 และ 16.69 ตามลำดับ เมื่อเปรียบเทียบระหว่างคะแนนทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งเอาไว้
3. ประสิทธิผลของชุดกิจกรรมการเรียนรู้เท่ากับ 0.7383 แสดงว่าชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบบการใช้งานคอมพิวเตอร์เยื้องต้นชุดนี้ ทำให้ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 มีความก้าวหน้าในการเรียนรู้เพิ่มสูงขึ้นร้อยละ 73.83 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ยอมรับได้
4. โดยรวมผู้เรียนชายมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนโดยใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ระบบการใช้งานคอมพิวเตอร์เบื้องต้น อยู่ในระดับมาก ( =4.46) และผู้เรียนหญิงมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด ( =4.61)
โดยรวมก่อนเรียนผู้เรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับน้อย ( =2.13) และหลังเรียนผู้เรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก ( =4.01)
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน พบว่า ความพึงพอใจผู้เรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งเอาไว้