บทคัดย่อ
การพัฒนานักเรียนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องมีการพัฒนาด้านวินัยในตนเอง ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน ความขยันอดทนทางการเรียนและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง
การพัฒนานักเรียนให้เป็นบุคคลที่มีคุณภาพ จำเป็นต้องมีการพัฒนาด้านวินัยในตนเอง ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะศึกษา เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน ความขยันอดทนทางการเรียนและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง โดยมีจุดมุ่งหมายในการศึกษาดังนี้
ความมุ่งหมายของการศึกษาค้นคว้า
1. เพื่อศึกษาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน
2. เพื่อศึกษาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านความขยันอดทนทางการเรียน
3. เพื่อศึกษาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง
วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้า
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากร ในการศึกษาค้นคว้าเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนโคกก่อพิทยาคม จำนวน 42 คน
2. กลุ่มตัวอย่างในการศึกษาครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ปีการศึกษา 2/ 2562 ของโรงเรียนโคกก่อพิทยาคม จำนวน 17 คน
3. ตัวแปรที่ศึกษา
3.1 ตัวแปรอิสระ คือ เจตคติที่มี่ต่อวินัยในตนเองได้แก่
3.1.1 วินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน
3.1.2 ความขยันอดทนทางการเรียน
3.1.3 แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง
3.2 ตัวแปรตาม คือ
- พฤติกรรมด้านความมีวินัยในตนเอง
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
ในการวิจัยครั้งนี้ เครื่องมือที่ใช้เป็นแบบสอบถาม ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น เพื่อศึกษา เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน ความขยันอดทนทางการเรียนและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 ปีการศึกษา 2/2562 โรงเรียนโคกก่อพิทยาคม จังหวัดมหาสารคาม โดยการสร้างเครื่องมือสำหรับการวิจัย แบ่งแบบสอบถามออกเป็น 3 ส่วน คือ
1. ความมีวินัยในห้องเรียน
2. ความขยันอดทนทางการเรียน
3. แรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาเสริมทักษะงานช่าง
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยนำเครื่องมือที่สร้างขึ้น ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างได้ตอบแบบสอบถามและเก็บข้อมูลด้วยตนเอง
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยใช้ค่าร้อยละในการวิเคราะห์ข้อมูล
การอภิปรายผล
จากผลการวิเคราะห์ข้อมูล สามารถนำผลการวิจัยมาอภิปรายผล ได้ดังนี้
1. เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน พบว่า
1.1 ขณะเรียนวิชาหนึ่ง นักเรียนมักนำงานวิชาอื่นขึ้นมาทำ นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 67.32 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 32.68 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำไม่มีเลย แสดงว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการไม่นำวิชาอื่น ๆ มาทำขณะที่เรียนวิชาหนึ่งอยู่
1.2 นักเรียนพูดคุยกับเพื่อนในขณะที่ครูกำลังสอน นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 85.67 % นักเรียนที่ทำประจำมี 11.24 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำมี 3.09 % แสดงให้เห็นว่า นักเรียนมักชอบพูดคุยกันมากขณะที่ครูสอน เป็นพฤติกรรมที่ต้องปรับปรุง เพื่อให้บรรยากาศการเรียนการสอนดีขึ้น นักเรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ
1.3 นักเรียนส่งการบ้านตรงตามเวลาที่ครูกำหนด นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 58.05 % ส่วน นักเรียนที่ทำบางครั้ง และไม่เคยทำรวมกันแล้วมีถึง 41.95 % แสดงให้เห็นว่า นักเรียน 2 กลุ่มหลังนี้จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงเจตคติเกี่ยวกับวินัยในตนเองด้านความรับผิดชอบ มีวินัยในตนเอง
1.4 เมื่อนักเรียนทำข้อสอบไม่ได้ นักเรียนแอบดูข้อสอบเพื่อนในห้องสอบ นักเรียนที่ไม่เคยทำมีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 98.16 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง มี 1.84 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำไม่มีเลย แสดงว่า นักเรียนมีเจตคติที่ดีมากที่จะไม่กระทำการแอบดูข้อสอบเพื่อนในห้องสอบ
1.5 นักเรียนแอบนอนหลับในชั่วโมงเรียน นักเรียนที่ไม่เคยทำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 86.33 % นักเรียนที่ทำบางครั้งมี 9.61 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำมี 3.86 % แสดงว่านักเรียนมีเจตคติที่ดี ไม่ประพฤติตนแอบนอนหลับในชั่วโมงเรียน ส่วนนักเรียนที่ปฏิบัติตนในลักษณะดังกล่าวบ้างและทำประจำ คงต้องพิจารณาสาเหตุของการปฏิบัติและหาแนวทางแก้ไขต่อไป
1.6 นักเรียนเล่นกับเพื่อนขณะที่ครูสอน นักเรียนที่ไม่เคยทำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 82.53% นักเรียนที่ทำบางครั้งมี 9.61 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำมี 7.86 % แสดงว่านักเรียนมีเจตคติที่ควรได้รับการปรับพฤติกรรมเรื่องเกี่ยวกับการเล่นกับเพื่อนขณะที่ครูสอน ซึ่งอาจจะเป็นลักษณะเฉพาะของวัยและเพศของนักเรียน ต้องจึงพิจารณาปรับลดพฤติกรรมดังกล่าว
1.7 นักเรียนอ่านหนังสือการ์ตูน ขณะที่ครูสอน นักเรียนที่ไม่เคยทำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 94.23% นักเรียนที่ทำบางครั้งมี 5.77% ส่วนนักเรียนที่ทำประจำไม่มี แสดงว่านักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการไม่ปฏิบัติตนที่ไม่เหมาะสม ส่วนนักเรียนที่ทำเป็นบางครั้งควรที่จะได้รับการอบรมให้พิจารณาถึงข้อเสียของพฤติกรรมดังกล่าวและงดเว้นพฤติกรรมนี้เสีย
1.8 นักเรียนลอกการบ้านเพื่อน นักเรียนที่ไม่เคยทำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 61.53 % นักเรียนที่ทำบางครั้งมี 23.08 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำมี 15.39% แสดงว่ายังคงมีพฤติกรรมการลอกการบ้านเพื่อนอยู่อีกพอควร จึงต้องมีการหาสาเหตุของพฤติกรรมดังกล่าวของนักเรียนว่าเป็นเพราะสาเหตุใด เช่น เวลาเรียนนักเรียนไม่เข้าใจบทเรียนจึงทำไม่ได้ การบ้านมากจนทำไม่ทัน นักเรียนเกียจคร้านไม่ยอมทำแต่กลัวความผิดจึงมาลอกการบ้านเพื่อให้มีส่งครู ฯลฯ
1.9 เมื่อใดที่รู้สึกไม่เข้าใจ นักเรียนจะถามครู นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 53.85 % นักเรียนที่ทำประจำมี 13.46 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำมี 32.69 % แสดงว่านักเรียนมีแนวโน้มทางเจตคติที่ดีต่อการพัฒนาเรียนของตนเองให้ดีขึ้น เมื่อไม่เข้าใจนักเรียนต้อง กล้าที่จะถามครู แต่ก็ต้องพัฒนาในกลุ่มนักเรียนที่ไม่เคยทำเลย ให้มีพฤติกรรมด้านนี้ให้มากขึ้น
จากการพิจารณาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/2 พบว่า ส่วนใหญ่มีเจตคติที่ดีถึงดีมาก ส่วนกลุ่มนักเรียนที่ยังมีเจตคติและพฤติกรรมที่ไม่ดี สมควรที่จะค้นหาสาเหตุของแต่ละบุคคลและในแต่ละกรณี เพื่อทำการพัฒนาศักยภาพของนักเรียนต่อไป
2. เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านความขยันอดทนทางการเรียน พบว่า
2.1 นักเรียนทำการบ้านเสมอก่อนออกไปเล่น นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 52.08 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำมี 4.91 % จากการพิจารณานักเรียนกลุ่มที่ทำบางครั้งและไม่เคยทำ ควรได้รับการพัฒนาตนเองด้านความรับผิดชอบให้เป็นผู้ที่มีความรับผิดชอบต่องานของตนเองให้มากขึ้น
2.2 นักเรียนหลีกเลี่ยงงานที่คุณครูมอบหมาย นักเรียนที่ไม่เคยทำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 71.75 % นักเรียนที่ทำบางครั้งมี 28.85 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำไม่มี แสดงว่านักเรียนยังมีเจตคติเรื่องความรับผิดชอบต่องานที่ครูมอบหมายดี แต่ต้องพิจารณาพัฒนานักเรียนในกลุ่มนักเรียนที่ทำบางครั้ง ให้มีความถี่ของการหลีกเลี่ยงงานน้อยลงให้มากที่สุด
2.3 นักเรียนไม่เคยอดทนทำการบ้าน นักเรียนที่ไม่เคยทำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 53.85 % นักเรียนทำบางครั้งมี 30.76 % ส่วนนักเรียนที่ทำประจำมี 15.39 % แสดงว่า นักเรียนมีแนวโน้มที่มีเจตคติที่ดีต่อการอดทนทำการบ้าน แต่คงต้องพัฒนาเจตคติของนักเรียนในกลุ่มที่ทำประจำและทำบางครั้ง ให้มีความอดทนมากยิ่งขึ้น
2.4 ในการทดลอง นักเรียนจะพยายามทดลองจนเสร็จ นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 48.96 % นักเรียนทำบางครั้งมี 42.86 % นักเรียนที่ไม่เคยทำ 10.22 % แสดงว่านักเรียนมีแนวโน้มทางเจตคติต่อความพยายามในการทำการทดลอง ส่วนนักเรียนในกลุ่มที่ขาดความพยายามทำการทดลองจนเสร็จ ครูควรกระตุ้นให้นักเรียนเห็นความสำคัญของการทำการทดลองให้สำเร็จ เพื่อทำขั้นตอนต่อไปคือการสรุปผลการทดลองและอื่น ๆ
2.5 เวลาใกล้สอบ นักเรียนดูหนังสือเอง โดยพ่อแม่ไม่ต้องบังคับ นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 51.02 % นักเรียนที่ทำประจำมี 36.73 % นักเรียนที่ไม่เคยทำ 12.24 % แสดงว่า นักเรียนมีแนวโน้มเจตคติที่มีพฤติกรรมในด้านความรับผิดชอบต่อตนเอง แต่ต้องกระตุ้น นักเรียนในกลุ่มที่ทำบางครั้ง ให้รู้จักหน้าที่ของตนเองและกระทำหน้าที่ของตนเองให้ดีขึ้น รวมทั้งพัฒนานักเรียนในกลุ่มที่ไม่เคยทำ ให้มีพฤติกรรมความรับผิดชอบในการดูหนังสือสอบ โดยไม่ต้องมีใครมาบังคับ
2.5 เมื่อนักเรียนทำผิด จะพยายามแก้ไขโดยไม่ท้อแท้ นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 53.06 % นักเรียนที่ทำประจำมี 36.73 % นักเรียนที่ไม่เคยทำ 10.20 % แสดงว่า เมื่อนักเรียนทำผิดแล้ว นักเรียนมีแนวโน้มที่จะพยายามแก้ไขตนเองให้ดีขึ้น ส่วนในกลุ่มที่ไม่เคยทำ ไม่พยายามแก้ไขข้อบกพร่องของตนเองครูควรอบรมชี้แจงให้
จากการพิจารณาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านความขยันอดทนทางการเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 พบว่า ส่วนใหญ่มีแนวโน้มทางเจตคติที่ดี ส่วนนักเรียนในกลุ่มที่ยังมีเจตคติที่ไม่ดีนั้น ครูควรต้องอบรมชี้แจงให้นักเรียนเห็นคุณค่า คุณประโยชน์ของความอดทนในการทำงาน ความรับผิดชอบต่อตนเองในการทำงานในหน้าที่และต้องกระทำอย่างเต็มที่ ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก มีความอดทน อดกลั้นต่อปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ รวมทั้งชี้ให้เป็นถึงผลที่เกิดจากความสำเร็จในการทำงาน ยกตัวอย่างบุคคลที่ประสบความสำเร็จในการทำงานและความสำเร็จในชีวิตที่ได้รับความชื่นชม ยกย่องจากคนรอบข้างและสังคม เพื่อให้นักเรียนในกลุ่มนี้มีแนวโน้มเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านความขยันอดทนทางการเรียนดีขึ้น
3. เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง
3.1 เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อความสำเร็จทางการเรียนวิชาเสริมทักษะงานช่าง
- เมื่อมีการแข่งขัน นักเรียนจะพยายามอย่างเต็มความสามารถ เพราะต้องการเป็นผู้ชนะ นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 67.35 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง มี 20.41 % นักเรียนที่ไม่เคยทำ 12.24 %
- นักเรียนอยากประสบความสำเร็จในการเรียน นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 69.39 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง คิดเป็น 24.49 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 6.12 %
- ในการเรียนนักเรียนทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้คะแนนดี นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 53.06 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง คิดเป็น 40.82 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 6.12 %
จากทั้ง 3 ข้อข้างต้น หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็นได้ว่า นักเรียนมีเจตคติที่จะเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จ หรือให้ได้รับชัยชนะทั้งนักเรียนที่ทำประจำและทำเป็นบางครั้ง ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำมีอยู่จำนวนหนึ่งที่ครูต้องกระตุ้นให้เป็นผู้ที่อยากประสบความสำเร็จ โดยอาจจะเริ่มต้นจากการได้รับคำชมเชยจากการประสบความสำเร็จในระดับและประเภทของความถนัดหรือความสามารถที่แตกต่างกันของนักเรียนแต่ละคน เช่น ศิลปะ ดนตรี กีฬา วิชาการ หรือกิจกรรมการบริการ (ลูกเสือ) ฯลฯ
3.2 เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อความพยายามทางการเรียน
- นักเรียนปฏิบัติตามคติประจำใจที่ว่า ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 53.06 % นักเรียนที่ทำประจำ คิดเป็น 46.94 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำไม่มี
- ในวิชาใดก็ตาม เวลาสอบนักเรียนจะพยายามอย่างเต็มที่ในการสอบ นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 87.76 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง คิดเป็น 10.20 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 2.04 %
- ถ้าผลการเรียนไม่ดี นักเรียนใช้ความพยายามมากยิ่งขึ้น นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 57.14 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง คิดเป็น 42.86 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำไม่มี
- นักเรียนมีความพยายามอย่างยิ่งที่จะทำอะไรให้ดี อย่างที่ตั้งใจไว้ นักเรียนที่ทำประจำ มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 51.02 % นักเรียนที่ทำบางครั้ง คิดเป็น 44.90 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 4.08 %
- ในบทเรียนที่ยาก ๆ นักเรียนจะอ่านซ้ำหลาย ๆ ครั้ง จนเข้าใจแล้วจึงผ่านไป นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 55.10 % นักเรียนที่ทำประจำ คิดเป็น 40.82 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 4.08 %
- นักเรียนเตรียมวางแผนการเรียนตั้งแต่เปิดภาคเรียนในวันแรก เพื่อจะได้เรียนดีที่สุด นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 51.02 % นักเรียนที่ทำประจำ คิดเป็น 30.61 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 18.37 %
- นักเรียนพยายามหาความรู้เพิ่มเติมจากเอกสาร หรือตำราในห้องสมุด เมื่อมีปัญหาเกี่ยวกับการเรียน นักเรียนที่ทำบางครั้ง มีค่าร้อยละมากที่สุด คิดเป็น 48.98 % นักเรียนที่ทำประจำ คิดเป็น 34.69 % ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำ คิดเป็น 16.33 %
จากข้อข้างต้น หากพิจารณาในภาพรวมจะเห็นได้ว่า เจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ต่อความพยายามทางการเรียน นักเรียนมีแนวโน้มที่จะมีความพยายามทางการเรียนอย่างเต็มที่ ทำสิ่งที่ดี เหมาะสมอย่างที่ตั้งใจไว้ พยายามที่จะพัฒนาตนเอง ใฝ่หาความรู้ด้วยตนเอง ทั้งจากตำราเรียน ค้นคว้าในห้องสมุด รวมทั้งการฝึกทักษะจากบทเรียนที่ยาก การวางแผนการเรียนที่ดีตั้งแต่ต้นปีการศึกษา ส่วนนักเรียนที่ไม่เคยทำมีจำนวนน้อย ซึ่งในนักเรียนกลุ่มนี้จำเป็นต้องได้รับการพัฒนาเจตคติที่ให้นักเรียนเห็นเป้าหมาย คุณประโยชน์ คุณค่า ของความพยายาม รวมทั้งการยอมรับของสังคมที่มีต่อผู้ที่มีความพยายาม รวมทั้งกระตุ้นนักเรียนที่มีผลการเรียนไม่ดี ให้มีความพยายาม ขยันหมั่นเพียรในด้านการเรียน ให้นักเรียนตระหนักในการวางแผนทางด้านการเรียน มีความมุ่งมั่น มีแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน และหากได้ปฏิบัติตนจนเป็นนิสัย ก็จะเป็นผู้ที่มีความสำเร็จในชีวิตตามที่ตนได้มุ่งหวังไว้อย่างแน่นอน
ข้อเสนอแนะ
ผู้วิจัยขอเสนอแนะแนวทางเพื่อนำข้อค้นพบในการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน คือ
1. ครูควรศึกษาธรรมชาติของเพศและวัยของนักเรียน ประกอบกับพฤติกรรมของนักเรียน เพื่อพัฒนาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยในห้องเรียน ความขยันอดทนทางการเรียนและแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ทางการเรียน
2. ครูควรใช้จิตวิทยาในการโน้มน้าวจิตใจให้นักเรียนให้ความร่วมมือในการพัฒนาเจตคติที่ดี รวมทั้งเห็นคุณค่าของการปรับเจตคติ
ข้อเสนอแนะในการทำวิจัยครั้งต่อไป
1. การวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาเจตคติที่มีต่อวินัยในตนเองด้านวินัยทางสังคม
2. การวิจัยครั้งต่อไป ควรศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อการพัฒนาเจตคติที่ดีของนักเรียน