ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของกระบวนการ
แก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำยางพิทยาคม
ชื่อผู้วิจัย นายสิริวัฒน์ พงษ์สระพัง
ปีการศึกษา 2562
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1)พัฒนาและหาประสิทธิภาพของการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำยางพิทยาคม มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และ2)ประเมินประสิทธิผลของ การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำยางพิทยาคม
จำนวน 3 คน ที่ศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 โรงเรียนคำยางพิทยาคม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วยรูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำยางพิทยาคมคู่มือการใช้รูปแบบ หน่วยและแผนการจัดการเรียนรู้ แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง โลกดาราศาสตร์และอวกาศ แบบประเมินความสามารถในการสร้างนวัตกรรม แบบประเมิน จิตวิทยาศาสตร์ และแบบสอบถามความคิดเห็นต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำยางพิทยาคม วิเคราะห์ข้อมูล โดยการหาค่าสถิติร้อยละ(%) ค่าเฉลี่ย(𝑋 ̅ ) ส่วนเบี่ยงเบน มาตรฐาน(S.D.) หาค่าทีแบบไม่อิสระ (t - test for dependent samples) และการวิเคราะห์เนื้อหา(Content Analysis)
ผลการวิจัย พบว่า
1.รูปแบบการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์ตามแนวคิดของกระบวนการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนคำยางพิทยาคม มีชื่อว่า ASKAC Model มี 5 ขั้น ได้แก่ 1) ขั้นที่ 1 ขั้นกระตุ้นความสนใจ (Arouse Interest : A ) ขั้นที่ 2 ขั้นค้นหาความรู้ (Search for Knowledge : S) ขั้นที่ 3 ขั้นสรุปองค์ความรู้(Knowledge Summary : K) ขั้นที่ 4 ขั้นประยุกต์ความรู้ ( Applied Knowledge : A ) ขั้นที่ 5 ขั้น ขั้นตรวจสอบ (Check : C)
2. นักเรียนกลุ่มทดลองที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงและปานกลาง มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงกว่านักเรียนกลุ่มควบคุมที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเดียวกันที่ระดับความมีนัยสำคัญทางสถิติ .05 แต่ไม่พบความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติสาหรับนักเรียน ระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
3. นักเรียนกลุ่มทดลองที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงที่มีความความคงทนในการเรียนรู้แตกต่างจากนักเรียนกลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนนักเรียนกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมที่มีระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนปานกลาง มีความคงทนในการเรียนรู้แตกต่างกัน อย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
4. ความคิดเห็นของครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนที่เสริมสร้างความสามารถในการแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ทางฟิสิกส์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 พบว่า โดยภาพรวมครูมีความคิดเห็น อยู่ในระดับมากที่สุด (𝑋 ̅= 4.79, S.D. = 0.37) ด้านองค์ประกอบของรูปแบบการเรียนการสอนทั้ง 5 ขั้น ส่งเสริมใหครูมีความรู้ ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ดีขึ้น และด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ส่งผลให้นักเรียนมีความเชื่อมั่นในตนเองมากขึ้น