ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้
คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD
ผู้วิจัย นางจริยาภรณ์ แสนสิมมา
สถานศึกษา โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ สังกัดกองการศึกษา
เทศบาลเมืองเมืองพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น
ปีที่พิมพ์ 2561
บทคัดย่อ
การจัดการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้นในระยะที่ผ่านมายังไม่บรรลุตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรเท่าที่ควร เห็นได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนอยู่ในเกณฑ์ต่ำ การพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้กิจกรรมกลุ่มร่วมมือแบบ STAD เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนได้ฝึกกระบวนการกลุ่ม โดยการเรียนรู้แบบร่วมมือ ทุกคนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ ผลสำเร็จของการเรียนรู้อยู่ที่ความร่วมมือของสมาชิกในกลุ่ม การจัดกิจกรรมกลุ่มร่วมมือแบบ STAD เป็นแนวทางที่สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาและพัฒนาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ได้เป็นอย่างดี และจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ดังนั้นในการวิจัยครั้งนี้มีความมุ่งหมาย 1. เพื่อพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD 3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD และ 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1/1 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนเทศบาลศรีเมืองพลประชานุเคราะห์ สังกัดกองการศึกษา เทศบาลเมืองเมืองพล อำเภอพล จังหวัดขอนแก่น จำนวน 37 คน ได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ซึ่งเป็นห้องที่ผู้วิจัยเป็นครูประจำชั้นและเป็นผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มี 4 ชนิด ประกอบด้วย 1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD จำนวน 7 ชุด 2. แผนการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ประกอบการใช้ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 จำนวน 16 แผน 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ (Multiple Choices) 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ และ 4. แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD เป็นมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ โดยการหาค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าดัชนีประสิทธิผล และทดสอบสมมติฐานใช้ t test (Dependent Samples) ผลการศึกษาวิจัยพบว่า
1. ชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.14 / 85.74 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. ดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD มีค่าเท่ากับ 0.6968 ซึ่งแสดงว่าผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.68
3. นักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
โดยสรุป การพัฒนาชุดกิจกรรมการเรียนรู้ เรื่อง ทศนิยมและเศษส่วน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบ STAD ที่พัฒนาขึ้นครั้งนี้มีประสิทธิภาพสูง ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์และผู้ที่สนใจที่จะพัฒนาการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน สามารถนำชุดกิจกรรมการเรียนรู้ไปใช้ในการพัฒนาให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น มีความพึงพอใจในการเรียน และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันต่อไป