ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
คนพิการเป็นทรัพยากรมนุษย์กลุ่มหนึ่งของสังคม ที่หากได้รับการส่งเสริมและพัฒนาอย่างถูกต้อง และเป็นระบบ จะสามารถพัฒนาให้มีศักยภาพ มีความรู้ความสามารถในการประกอบอาชีพ พึ่งพาตนเอง และสร้างสรรค์สังคมได้เช่นเดียวกับคนทั่วไป การพัฒนาคนพิการที่สำคัญอย่างหนึ่งคือการให้การศึกษา ที่มุ่งเน้นการพัฒนาทุกด้านอย่างเต็มศักยภาพ โดยครูและบุคลากรทางการศึกษาพิเศษจัดว่าเป็นหัวใจสำคัญ ในการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพการศึกษาสำหรับคนพิการหรือที่ทางการศึกษาเรียกว่า ผู้เรียนที่มีความต้องการจำ เป็นพิเศษ ดังนั้นครูและบุคลากรทางการศึกษาที่จัดบริการทางการศึกษาสำหรับคนพิการหรือผู้เรียน ที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษจึงจำเป็นต้องมีองค์ความรู้ ความเข้าใจ และความสามารถในการจัด กระบวนการเรียนรู้ที่ส่งเสริมศักยภาพของคนพิการหรือผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ วิเคราะห์ผู้เรียน และเข้าใจผู้เรียนเป็นรายบุคคล ปรับกระบวนการเรียนรู้ และเลือกใช้เทคโนโลยี สื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก บริการ และความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษาที่สอดคล้องต่อความต้องการจำเป็นพิเศษของผู้เรียน แต่ละบุคคล จึงได้มีการพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมครูด้านการสอนคนพิการ เพื่อใช้ในการพัฒนาศักยภาพครู และบุคลากรทางการศึกษาในการจัดบริการทางการศึกษาที่มีคุณภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่คนพิการ หรือผู้เรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษขึ้น
พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานแก่คณะกรรมการมูลนิธิอนุเคราะห์คนพิการ ในพระราชูปถัมภ์สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2517 ความว่า งานช่วยผู้พิการนี้ก็มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะว่าผู้พิการไม่ได้เป็นผู้อยากจะพิการและอยากช่วยตนเอง ถ้าเราไม่ช่วยเขาให้สามารถที่จะปฏิบัติงานอะไรเพื่อชีวิต และมีเศรษฐกิจของครอบครัว จะทำให้สิ่งที่หนักในครอบครัวหนักแก่ส่วนรวม ฉะนั้นนโยบายที่จะทำ ก็คือ ช่วยให้เขาได้ช่วยตนเองได้เพื่อจะให้เขาสามารถเป็นประโยชน์ต่อสังคม
นอกจากนี้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 ได้บัญญัติไว้อย่างชัดเจนใน มาตรา 43 55 และมาตรา 80 ว่า บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐจะต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่ต้องเก็บค่าใช้จ่าย และบุคคลซึ่งพิการหรือทุพพลภาพมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวกอันเป็นสาธารณะ และความช่วยเหลืออื่นจากรัฐ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ นอกจากนี้รัฐต้องสงเคราะห์คนชรา ผู้ยากไร้ ผู้พิการหรือทุพพลภาพ และผู้ด้อยโอกาสให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี และพึ่งตนเองได้ ซึ่งสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 10 วรรคสอง วรรคสาม และมาตรา 22 ซึ่งบัญญัติว่า การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลซึ่งมีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพหรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแล หรือด้อยโอกาสต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ โดยให้จัดตั้งแต่แรกเกิด หรือพบความพิการโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิได้รับสิ่งอำนวยความสะดวก สื่อ บริการและความช่วยเหลืออื่นใดทางการศึกษา ตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง และการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่า ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรม ชาติและเต็มตามศักยภาพ (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาตรัง เขต 1 2548: 1)
การศึกษาเป็นกระบวนการที่สำคัญในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ มีความสามารถในการปรับตัวได้เท่าทัน กับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมืองและวัฒนธรรม ทำให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข โรงเรียนเป็นสถาบันหรือองค์กร ทางสังคมที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการให้การศึกษาแก่ผู้เรียน ดังนั้น จึงจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่นให้สังคมยอมรับว่าโรงเรียนสามารถเสริมสร้างให้นักเรียนจบการศึกษาไปอย่างมีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรมและคุณลักษณะต่างๆ ได้ครบถ้วนตามหลักสูตรและความคาดหวังของสังคม ทั้งทางด้านความรู้ ความสามารถในเชิงวิชาการ
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ในการดำรงชีวิตอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข ดังที่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา 10 กำหนดว่า การจัดการศึกษาต้องจัดให้บุคคลมีสิทธิและโอกาสเสมอภาคกันในการรับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อยกว่าสิบสองปีที่รัฐต้องจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย วรรคสองกำหนดว่า การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความบกพร่องทางร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์ สังคม การสื่อสารและการเรียนรู้ หรือมีร่างกายพิการ หรือทุพพลภาพ หรือบุคคลซึ่งไม่สามารถพึ่งตนเองได้ หรือไม่มีผู้ดูแลหรือด้อยโอกาสต้องจัดให้บุคคลดังกล่าวมีสิทธิและโอกาสได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นพิเศษ สอดคล้องกับที่ มลิวัลย์ ธรรมแสง (2547, หน้า 4) กล่าวว่า การจัดการศึกษาสำหรับบุคคลที่มีความต้องการพิเศษต้องจัดด้วยรูปแบบที่เหมาะสม โดยคำนึงถึงความสามารถของบุคคลนั้นๆ หน่วยงานของรัฐต้องจัดให้คนพิการมีสิทธิได้รับการศึกษาตามศักยภาพ โดยมีสิทธิได้เข้าศึกษาร่วมกับคนปกติตามความเหมาะสมแก่สภาพของความพิการ เนื่องจากความพิการบางประเภท คนพิการต้องใช้ชีวิตร่วมกับคนปกติจึงจะสามารถมีพัฒนาการได้ดีกว่าการจัดให้คนพิการศึกษาอยู่ด้วยกันนอก จากนี้ยังกำหนดให้รัฐต้องจัดสถานศึกษาเฉพาะความพิการและเพื่อเป็นการ แบ่งเบาภาระในการจัดการศึกษาโดยรัฐ หน่วยงานของรัฐอาจส่งเสริมสนับสนุนภาคเอกชนและชุมชนให้ร่วมจัดการศึกษาเพื่อคนพิการได้ด้วย
ศูนย์การศึกษาพิเศษ ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 2539 เพื่อให้เป็นศูนย์ปฏิบัติ การฟื้นฟูสมรรถภาพผู้พิการทางด้านการศึกษาและเตรียมความพร้อมให้แก่เด็กก่อนวัยเรียน ตลอดทั้งปฏิบัติหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะแนวข้อมูล สารสนเทศ ศึกษาวิจัย วินิจฉัยความพิการ และให้บริการวิชาการด้านการศึกษาพิเศษ สื่อ สิ่งอำนวยความสะดวก แก่โรงเรียนศึกษาพิเศษและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาพิเศษตามนโยบายการพัฒนาคุณภาพทางการศึกษาของรัฐบาล ร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการที่จะจัดการศึกษาให้เกิดความเสมอภาคทั้งเชิงโอกาสและเชิงคุณภาพ เพื่อรองรับพระราชบัญญัติการฟื้นฟูสมรรถภาพคนพิการ พ.ศ. 2534 และได้ดำเนินการให้ความช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม ประสานเครือข่าย งานเรียนร่วม รวมทั้งฟื้นฟูสมรรถภาพแก่ผู้พิการประเภทต่าง ๆ จนถึงปัจจุบัน เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้พิการให้สามารถช่วยเหลือตนเองและอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นๆ ในสังคมได้อย่างมีความสุข เพื่อให้การจัดการพัฒนาการเรียนรู้ได้เหมาะสมจำเป็นต้องศึกษาความต้องการความบกพร่อง การใช้สื่ออุปกรณ์ในการสอนจะช่วยให้การเรียนการสอนน่าสนใจแต่สื่อการสอนที่จะนำมาต้องไม่ซับซ้อนเกิดความ สามารถของเด็ก เช่น สื่อที่มีอยู่แล้ว เลือกสื่อให้ตรงกับเนื้อหา กิจกรรม วัตถุประสงค์ และสถานการณ์ คุ้มกับเวลา และการลงทุน โดยศูนย์การศึกษาพิเศษเน้นพัฒนานักเรียน 6 ทักษะ ได้แก่ ทักษะกล้ามเนื้อมัดใหญ่ ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก ทักษะการพูดและการใช้ภาษา ทักษะสังคม ทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน และทักษะทักษะการใช้ปัญญาและการเตรียมความพร้อมทางวิชาการ ควบคู่กับการฟื้นฟูกิจกรรมบำบัดและกายภาพบำบัด
นักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เป็นหนึ่งใน 9 ประเภทความพิการที่มีปัญหาเกือบทุกด้านในชีวิตประจำวัน และปัญหาการเรียน เนื่องจากเด็กมีข้อจำกัดหรือเพดานในการเรียนรู้ ทำให้ไม่สามารถทำสิ่งต่างๆได้เท่ากับเพื่อนในวัยเดียวกัน เป็นภาวะที่สมองหยุดพัฒนาหรือพัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์ ทำให้เกิดความบกพร่องของทักษะด้านต่างๆ ในระยะพัฒนาการ และส่งผลกระทบต่อระดับเชาวน์ปัญญาทุกๆ ลักษณะปัญหาในด้านการเคลื่อนไหว คือ เดินงุ่มง่าม เดินช้า บางรายมีการเดินเขย่งเท้าร่วมด้วย
ณัชชา โรจน์วิโรจน์ ผู้คิดค้น BLIX POP ของเล่นตัวต่อขนาดยักษ์สำหรับเด็กที่มีความบกพร่องทางการเห็น โดยถูกออกแบบ ให้โยกย้าย และปีนป่าย และฝึกการเดินในรายที่มีปัญหาในการเดิน โดยเดินผ่านรูปทรงและสัมผัสของบล็อกทั้ง 4 แบบเป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่มีความมั่นคง และเท้าได้สัมผัสพื้นที่หลากหลาย
ฝึกทั้งด้านการเดิน ความคิด และจินตนาการของเด็กผ่านการเล่นปนเรียน ช่วยการเรียนรู้เกี่ยวกับมิติสัมพันธ์ และการฝึกเดินทรงตัว เป็นการพัฒนาทั้งสมองและร่างกายในด้านที่เหมาะกับเด็ก
ดังนั้น ในฐานะครูการศึกษาพิเศษที่สอนนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ที่มีปัญหาการเดินเขย่งทาง การหนีสัมผัส ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะศึกษา ผลการใช้ BLIX POP เพื่อพัฒนาทักษะการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ห้องเตรียมความพร้อม 1 ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1.เพื่อศึกษาผลการใช้ BLIX POP ที่มีผลต่อการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
2.เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก่อนและหลังการใช้ BLIX POP
สมมติฐานของการวิจัย
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่ได้รับการฝึกโดยใช้ BLIX POP มีพัฒนาการในการเดินที่ดีขึ้น
ประโยชน์ที่จะได้รับจากการวิจัย
1.ได้นวัตกรรมหรือสื่อการเรียนรู้ที่สามารถแก้ปัญหาการเดินเขย่งเท้า การเดินหนีสัมผัสพื้นผิว ในเด็กที่มีความต้องการพิเศษประเภทต่าง ๆ ที่มีปัญหาแบบเดียวกัน
2.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาสามารถมีพัฒนาการในการเดินที่ดีขึ้น สามารถนำไปใช้ได้ในชีวิตประจำวันได้
นิยามศัพท์เฉพาะ
1.เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา หมายถึง บุคคลที่มีความจำกัดอย่างชัดเจนในการปฏิบัติตน (Functioning) ในปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะเฉพาะ คือ ความสามารถทางสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยอย่างมีนัยสำคัญร่วมกับความจำกัดของทักษะการปรับตัวอย่างน้อย 2 ทักษะ จาก 10 ทักษะ ได้แก่ การสื่อความหมาย การดูแลตนเอง การดำรงชีวิตภายในบ้าน ทักษะทางสังคม/การมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น การรู้จักใช้ทรัพยากรในชุมชน การรู้จักดูแลควบคุมตนเอง การนำความรู้มาใช้ในชีวิตประจำวัน การทำงาน การใช้เวลาว่าง การรักษาสุขภาพอนามัยและความปลอดภัยทั้งนี้ได้แสดงอาการดังกล่าวก่อนอายุ 18 ปี (ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ ออกตามความพระราชบัญญัติการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ พ.ศ. 2551) ในการศึกษาครั้งนี้ หมายถึง เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา เพศหญิง อายุ 5 ปี ชั้นเตรียมความพร้องห้อง 1 ที่มีปัญหาด้านการเดินเขย่งเท้า การเดินหนีสัมผัสพื้นผิวชนิดต่าง ๆ เช่น หิน ดิน ทราย และซีเมนต์ นอกจากนี้ยังมีปัญหาด้านการมองเห็นร่วมด้วย
2. BLIX POP หมายถึง บล็อกรูปทรงสี่เหลี่ยมและสัมผัสของบล็อก บล็อก 4 แบบ ประกอบด้วยฐาน ตัวเสริม ขอนไม้ และหญ้า สามารถนำมาพลิกแพลงเล่นได้
3. ความสามารถในการเดิน หมายถึง การเดินโดยตามองตรงไปข้างหน้า ศีรษะและลำตัวตั้งตรง ไหล่สองข้างอยู่ในระดับตรง แกว่งแขนซ้ายขวาสลับหน้าหลังขนานลำตัว มือทั้งสองข้างกำหลวมๆ โดยมือที่แกว่งสูงระดับอก ในลักษณะผ่อนคลาย งอศอกเล็กน้อย ทำมุมราว 90 องศาระหว่างแขนท่อนบน-ล่าง
ขอบเขตของการวิจัย
1.ประชากร
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ห้องเตรียมความพร้อม ๑ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๘ จังหวัดเชียงใหม่
2.กลุ่มเป้าหมาย
เด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ห้องเตรียมความพร้อม ๑ ของศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา ๘ จังหวัดเชียงใหม่ ปีการศึกษา 2562 จำนวน 1 คน เลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3.ตัวแปร
3.1 ตัวแปรต้น (Independent Variable) ได้แก่ BLIX POP
3.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variable) ได้แก่ ความสามารถในการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
5.ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา
ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562 ระหว่างวันที่ 18 ธ.ค. 2562 20 ก.พ. 2563 (ไม่รวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน)
กรอบแนวความคิดในการวิจัย
ในการศึกษาครั้งนี้ได้กำหนดกรอบแนวความคิดดังนี้
สรุปผล
ผลการใช้ BLIX POP เพื่อพัฒนาทักษะการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ห้องเตรียมความพร้อม 1 ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 โดยมีตัวแปรต้น ได้แก่ BLIX POP และตัวแปรตาม ได้แก่ ความสามารถในการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา
ผลการวิเคราะห์โดยผู้วิจัยได้วิเคราะห์ข้อมูลจาก แผนการสอนเฉพาะบุคคล(Individual
Implementation Plan : IIP) แบบประเมินความสามารถก่อนและหลังการใช้กิจกรรม BLIX POP ผู้วิจัยนำเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลจากวัตถุประสงค์ดังนี้
1. เพื่อศึกษาผลการใช้ BLIX POP ที่มีผลต่อการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กลุ่มตัวอย่างสามารถปฏิบัติได้ 100% ของแผนการสอนเฉพาะบุคคล มีเกณฑ์การผ่านแผน คือ สามารถปฏิบัติได้ในระดับคุณภาพ 4 ขึ้นไปติดต่อกัน 3 ครั้งขึ้นไป
2. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาก่อนและหลังการใช้ BLIX POP พบว่า กลุ่มตัวอย่างได้คะแนนจากแบบประเมินความสามารถพื้นฐานก่อนเรียนได้คะแนนเท่ากับ 2 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 53 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับความสามารถทำได้โดยต้องมีผู้ช่วยเหลือปานกลางหรือใช้การกระตุ้นเตือนสองแบบร่วมกันคือ ทางร่างกายหรือทางวาจาหรือทางท่าทางหลังเรียนเด็กได้คะแนนเท่ากับ 5 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 100 จากคะแนนเต็ม 5 คะแนน อยู่ในระดับความสามารถทำได้ด้วยตนเอง ผลต่างของคะแนนก่อนและหลังการใช้ BLIX POP เพิ่มขึ้น +3 คิดเป็นร้อยละ 47 หลังเรียนมีค่าเท่ากับ 5.00 แสดงว่านักเรียนกลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ดังนั้น หลังการใช้ BLIX POP มีผลต่อการพัฒนาการทางการเดิน ของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาที่สูงขึ้น
อภิปรายผล
การวิจัยเรื่อง ผลการใช้ BLIX POP เพื่อพัฒนาทักษะการเดินของเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ห้องเตรียมความพร้อม 1 ศูนย์การศึกษาพิเศษ เขตการศึกษา 8 เป็นไปตามสมมตติฐานที่ตั้งไว้ คือ เพื่อศึกษาผลการใช้ BLIX POP ที่มีผลต่อพัฒนาการทางการเดิน โดยมีพัฒนาการที่สูงขึ้นจากร้อยละ 53 เป็นร้อยละ 100 และคะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 2.67 คะแนน หลังเรียนมีค่าเท่ากับ 5.00 แสดงว่าเด็กที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา กลุ่มตัวอย่างมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01