บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ ๑) พัฒนาแผนการสอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) เรื่อง นักคิดสมองใส โดยใช้แบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิดกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของการเรียนรู้ด้วยแผนสอน โดยใช้แบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิด
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ๓) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่เรียนรู้ด้วยแผนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน ๔) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่มีต่อแผนการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๑ โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดแก้วพิจิตร) อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี จำนวน ๒๐ คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย ๑) แผนการสอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) เรื่อง นักคิดสมองใส หน่วยการเรียนรู้ที่ ๗ วิชาภาษาไทย จำนวนทั้งหมด ๑๕ แผน ๒) แบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิด จำนวน ๖ เล่ม ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบปรนัยเลือกตอบ ๓๐ ข้อ ๔) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test Dependent Samples)
ผลการวิจัยพบว่า
๑. การพัฒนาการสอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) เรื่อง นักคิดสมองใส โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด คุณธรรมนำความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โรงเรียนเทศบาล ๓ (วัดแก้วพิจิตร) อำเภอเมือง จังหวัดปราจีนบุรี ที่ผู้วิจัยจัดทำขึ้นมีประสิทธิภาพ ๘๔.๐๘ /๘๘.๕๐ ผ่านเกณฑ์ คือ ๘๐/๘๐ ที่กำหนดไว้
๒. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ หลังเรียนด้วยแผนการสอนแบบมีส่วนร่วม (Active Learning) เรื่อง นักคิดสมองใส โดยใช้แบบฝึกทักษะชุด คุณธรรมนำความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ ๐.๐๑
๓. ความพึงพอใจของนักเรียน หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด คุณธรรมนำความคิด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยรวมอยู่ ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย ๔.๗๕ คิดเป็นร้อยละ ๙๕.๐๐ และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ๐.๔๒