ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง
ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นายมังกร น้อยเมล์
ปีการศึกษา 2561
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้ มีจุดมุ่งหมายหลักเพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ เพื่อส่งเสริมทักษะ
การคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่องของไหล โดยใช้แผนการจัด การเรียนรู้ที่สร้างขึ้นตามรูปแบบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ของไหล สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษา
ปีที่ 6 ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ 4) เพื่อประเมินผลรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัย แบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 ศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์เพื่อส่งเสริมทักษะ การคิดในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 แหล่งข้อมูล ได้แก่ 1) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสะแกราชธวัชศึกษา ปีการศึกษา 2560 ที่เรียนวิชาฟิสิกส์ จำนวน 30 คน 2) ครูผู้สอนในรายวิชาฟิสิกส์เพิ่มเติม หน่วยการเรียนรู้เรื่อง ของไหล จำนวน 5 คน เครื่องมือที่ใช้เก็บรวมรวบข้อมูล คือ แบบสอบถาม และแบบสัมภาษณ์ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ขั้นตอนที่ 2 พัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ได้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความเหมาะสมของรูปแบบการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ท่าน และหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 9 คน เครื่องมือ ที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ของไหล จำนวน 10 แผนการเรียนรู้ ที่ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยผู้วิจัยสร้างขึ้น
2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ จำนวน 40 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนก(B) รายข้อตั้งแต่ 0.23 ถึง 0.80
มีค่าความยาก(p) รายข้อตั้งแต่ 0.20 ถึง 0.80 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.78 3) แบบทดสอบวัดผลทักษะการคิดขั้นสูง จำนวน 20 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนก(r) รายข้อตั้งแต่ 0.27 ถึง 0.70 มีค่าความยาก(p) รายข้อตั้งแต่ 0.36 ถึง 0.68 มีค่าความเที่ยงทั้งฉบับเท่ากับ 0.89 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน การวิเคราะห์โดยการหาประสิทธิภาพค่า E1/E2 ขั้นตอนที่ 3 ทดลอง ใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนสะแกราชธวัชศึกษา อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ปีการศึกษา 2561 จำนวน 41 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องของไหล ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 10 แผนการเรียนรู้ 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
จำนวน 40 ข้อ 3) แบบทดสอบวัดผลทักษะการคิดขั้นสูง จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล 1) การหาประสิทธิภาพค่า E1/E2 2) การหาค่าดัชนีประสิทธิผล โดยใช้สูตร E.I 3) การทดสอบความแตกต่างของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการใช้รูปแบบ ด้วยการทดสอบ t-test (Dependent Sample) และ 4) เปรียบเทียบผลการทดสอบวัดทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียนกับเกณฑ์ที่กำหนด ขั้นตอนที่ 4 ประเมินการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ กลุ่มตัวอย่าง ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/1 โรงเรียนสะแกราชธวัชศึกษา อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ปีการศึกษา 2561 จำนวน 41 คน กลุ่มตัวอย่าง ในการวิจัยครั้งนี้ ได้มาจากการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวมรวบข้อมูลคือ แบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่ามี 5 ระดับ (Rating Scale) ตามวิธีของลิเคอร์ท (Likert) จำนวน 12 ข้อ ซึ่งมีค่าอำนาจจำแนกรายข้อ (rxy) ตั้งแต่ 0.62 ถึง 0.82 และค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.92 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ค่าเฉลี่ย (x̄ ) และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการวิจัยปรากฏ ดังนี้
1. ผลการศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พบว่า นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนสะแกราชธวัชศึกษา มีความต้องการรูปแบบการจัดการเรียนรู้ ที่ส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูงในศตวรรษที่ 21 โดยรวมและรายด้าน ทุกด้าน อยู่ในระดับมาก ด้านที่มีความต้องการมากที่สุด คือ ด้านการจัดการเรียนการสอน ที่ให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองพุทธิพิสัย ทักษะพิสัย และจิตพิสัย รองลงมา คือ ด้านปัจจัย ที่ส่งเสริมการเรียนรู้ทั้งด้านวัตถุ เช่น สื่อ/อุปกรณ์การเรียนรู้ และด้านจิตใจ เช่น มีปฏิสัมพันธ์กับผู้เรียนให้ความเป็นกันเอง
2. ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้ โดยใช้กระบวนการการวิจัยและพัฒนารูปแบบการจัดเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ ตามแนวทฤษฎีคอนสรัคติวิสต์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง ในศตวรรษที่ 21 นั้น เป็นแบบแผนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งมีทฤษฎีการเรียนรู้ที่สนับสนุนรูปแบบ กระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยจัดให้มีองค์ประกอบการเรียนรู้ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ เนื้อหา กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดประเมินผล ไว้อย่างเป็นระบบ ใช้เทคโนโลยี สื่อ ICT พัฒนาให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ทั้งเนื้อหาและทักษะการคิด กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ตลอดจนการลงมือปฏิบัติ หาความรู้หรือวิเคราะห์ข้อมูล สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ในการเรียนรู้ ที่มีขั้นตอนการสอน 4 ขั้น ดังนี้ ขั้นที่ 1) กระตุ้นด้วยปัญหา (Excit) ขั้นที่ 2) ร่วมเรียนรู้และวิเคราะห์ปัญหา (Active Learning) ขั้นที่ 3) สร้างองค์ความรู้ (Concuctivistm) และ ขั้นที่ 4) ปัญญาความคิด (Notion Intelligence) ซึ่งผู้วิจัยได้สร้างขึ้นสำหรับใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 เรื่อง ของไหล
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้ พบว่า
3.1 ประสิทธิภาพของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด ในศตวรรษที่ 21 สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ของไหล เท่ากับ 84.05/84.51 ซึ่งมีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์กำหนดไว้ คือ 80/80
3.2 ดัชนีประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิด ในศตวรรษที่ 21 สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เรื่อง ของไหล เท่ากับ 0.7672
3.3 นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21 สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง ของไหล มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ
ที่ระดับ .05
3.4 ทักษะการคิดขั้นสูงของนักเรียน ที่เรียนโดยใช้รูปแบบการจัดการเรียนวิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง ในศตวรรษที่ 21 สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 อยู่ในระดับดีมาก
4. ผลการประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
ที่เรียนด้วยรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดในศตวรรษที่ 21 สำหรับ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ของไหล มีความพึงพอใจ โดยรวมอยู่ในระดับ มากที่สุด ส่วนรายข้อมีความพึงพอใจในระดับมากถึงมากที่สุด
สรุปได้ว่า การใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ เพื่อส่งเสริมทักษะการคิดขั้นสูง
ในศตวรรษที่ 21 สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 นี้สามารถช่วยพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และทักษะ คิดของนักเรียนให้ดีขึ้นได้ ดังนั้น ผู้บริหาร ครูผู้สอน ควรพิจารณาให้การสนับสนุนส่งเสริม และนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิชาฟิสิกส์ ไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่อไป