ชื่อผู้วิจัย นางสาวนงเยาว์ เรือนบุตร
ที่มาและความสำคัญ(ปัญหา)
เนื่องมากจากปัญหาที่พบในการจัดการเรียนรู้ในรายวิชาวิทยาศาสตร์ 6 เรื่องพฤติกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 6คนที่มีพฤติกรรมไม่สนใจเรียน เล่นโทรศัพท์ในเวลาเรียน ขาดทักษะการทำงานกลุ่ม ส่งเสียงดังรบกวนเพื่อนในห้องที่ตั้งใจเรียน และรบกวนครูผู้สอน ดังนั้นงานวิจัยครั้งนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเรียนโดยใช้ทักษะการทำงานกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 จำนวน 16 คน ของโรงเรียนสระพังวิทยาคม อำเภอบ้านแท่น จังหวัดชัยภูมิ ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2562ซึ่งผู้วิจัยได้รายงานผลการวิจัยในชั้นเรียน เริ่มจากปัญหา วิธีการแก้ปัญหา สรุปผล การอภิปรายผล และข้อเสนอแนะ ตามลำดับดังต่อไปนี้
วิธีการแก้ปัญหา
จากปัญหาที่พบในการจัดการเรียนรู้ผู้วิจัยได้สืบค้นวิธีการแก้ปัญหาในชั้นเรียนทางอินเตอร์เน็ต และได้นำการเรียนรู้ผ่านกิจกรรม (Activity-based Learning) ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง Child Centered การเรียนโดยการปฏิบัติจริง Learning by Doing จึงเข้าใจว่าการเรียนรู้แบบนี้เอง ที่มีผู้ตั้งฉายาว่า สอนแต่น้อย ให้เรียนมากๆ Teach less..Learn More การเรียนแบบ Learning by Doing นั้นใช้ กิจกรรม Activity เป็นหลักในการเรียนการสอน โดยการ ปฏิบัติจริง Doing ในเนื้อหาทุกขั้นตอนของการเรียนรู้ เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเอง ทุกคนในกลุ่มเป็นผู้ปฏิบัติ คุณครูเป็นพี่เลี้ยงและเทรนเนอร์ แต่กิจกรรมที่นำมาใช้นี้ต้องมีประสิทธิภาพในการเรียนรู้เนื้อหานั้นๆ มีจุดมุ่งหมาย สนุก และน่าสนใจ ไม่ซ้ำซากจนก่อให้เกิดความเบื่อหน่าย ดังนั้น คุณครูจึงเป็น นักออกแบบกิจกรรม Activity Designer มืออาชีพ ที่สามารถ มองเห็นภาพกิจกรรม ได้ทันทีผู้วิจัยจึงประยุกต์กิจกรรมการจัดการเรียนรู้เรื่องสายใยอาหารเพื่อพัฒนาทักษะการเรียนรู้การทำงานกลุ่มโดยใช้กิจกรรม(Activity-based Learning)
สรุปผล
ตามวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาพฤติกรรมการเรียนโดยใช้ทักษะการทำงานกลุ่มอย่างมีประสิทธิภาพของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 จากการวิจัยสรุปผลได้ว่าระดับความสามารถพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่มทั้งโดยรวมและรายบุคคล สูงกว่าก่อนทำการวิจัย
อภิปรายผล
ผลการวิจัยสามารถสรุปได้ว่า กิจกรรม(Activity-based Learning) ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง Child Centered การเรียนโดยการปฏิบัติจริง Learning by Doing การประเมินตามสภาพจริงพบว่า นักเรียนให้ความร่วมมือในการจัดการเรียนการสอน ไม่เล่นโทรศัพท์ และทุกคนในกลุ่มมีส่วนร่วม มีหน้าที่ในการทำกิจกรรมร่วมกัน ส่งผลให้นักเรียนมีงานส่งตรงตามกำหนด จากผลการวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยได้นำมาวิเคราะห์เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปและข้อเสนอแนะของการวิจัยดังนี้
กิจกรรม(Activity-based Learning) ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง Child Centered การเรียนโดยการปฏิบัติจริง Learning by Doing ทั้งหมด 3คาบๆ ละ 50 นาที ขณะดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ผู้วิจัยสังเกตและสัมภาษณ์ด้วยตนเอง เพื่อประเมินทักษะการทำงานกลุ่ม แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์และสรุปผล พบว่า คะแนนการประเมินทักษะการทำงานกลุ่มสูงขึ้นเป็นผลจากการจัดการใช้กิจกรรม(Activity-based Learning) ในการยึดหลักการให้ผู้เรียนสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง Child Centered การเรียนโดยการปฏิบัติจริง Learning by Doing สอดคล้องกับทฤษฎีการเรียนรู้ของจอห์น ดิวอี้ (John, 1859 อ้างถึงใน ทิศนา แขมณี, 36 2548, หน้า 4-5) ที่กล่าวว่าการเรียนรู้จะเกิดได้ดีต้องเป็นการเรียนรู้ที่เกิดจากการการปฏิบัติด้วยตนเองงานวิจัยของบุญชิต มณีโชติ(2540, หน้า 2) ได้กล่าว ลักษณะของ Active Learning คือการเปลี่ยนวิธีการสอนแบบเดิม ๆ เป็นการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้กระตุ้นให้เกิดความใฝ่ รู้ รู้จักคิดวิเคราะห์วิพากษ์วิจารณ์และแก้ไขปัญหาได้ส่งผลให้ผู้เรียนมีประสิทธิภาพดีขึ้น
จากผลการสังเกตพฤติกรรมจากแบบสังเกตพฤติกรรมการทำงานกลุ่ม ผู้วิจัยพบว่านักเรียนมีแนวโน้มแสดงพฤติกรรมที่แสดงให้เห็นว่ามีทักษะการทำงานกลุ่มดี นักเรียนมีการยอมรับความคิดเห็นของเพื่อนดีขึ้นมากที่สุด การเรียนรู้ด้วยการทำกิจกรรมที่ตนเองสนใจมีแรงกระตุ้นให้มีความกระตือรือร้นในการมีส่วนร่วมมากขึ้น เห็นได้ชัดเจนว่ามีความรับผิดชอบมากขึ้น และจากการเสริมแรงทางบวกทุกครั้งก่อนทำกิจกรรมส่งผลให้นักเรียนพยายามแสดงความคิดเห็น และสิ่งที่สรุปได้ว่าการวิจัยประสบผลสำเร็จอย่างสูง คือ นักเรียนทุกคนมีปฏิสัมพันธ์อย่างมีประสิทธิภาพกับผู้อื่น และนักเรียนที่ขาดทักษะการทำงานกลุ่มสนใจการทำกิจกรรมการเรียนรู้มากขึ้น ส่งผลต่อความสำเร็จของกลุ่มอีกด้วย
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้
1. จากผลการวิจัยพบว่า การใช้กิจกรรม(Activity-based Learning) สามารถพัฒนาทักษะการทำงานกลุ่มได้ ดังนั้น ควรส่งเสริมให้ครูมีการวิจัยในชั้นเรียนที่ใช้กิจกรรม(Activity-based Learning) ในทุกวิชา
2. จากผลการวิจัยพบว่า การใช้กิจกรรม(Activity-based Learning) สามารถแก้ปัญหานักเรียนที่ขาดทักษะการทำงานกลุ่มได้ ดังนั้น ผู้วิจัยควรนำผลการวิจัยไปเผยแพร่ข้อมูลเพื่อเป็นแนวทางให้ครูทุกคนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กิจกรรม (Activity-based Learning) เพื่อเปิดโอกาสให้นักเรียนที่ขาดทักษะการทำงานกลุ่มได้เรียนรู้อย่างสนุกสนานตามศักยภาพของตนเอง
ข้อเสนอแนะ สำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
1. ควรมีการศึกษารูปแบบของกิจกรรม (Activity-based Learning) ที่เหมาะสมตามวัยของนักเรียนระดับชั้นต่างๆ โดยคำนึงถึงสถานการณ์ที่นักเรียนต้องประสบในชีวิตประจำวัน
2. ควรมีการศึกษาเพื่อแก้ปัญหาด้านอื่นๆ โดยใช้กิจกรรม (Activity-based Learning) เช่นปัญหานักเรียนขาดระเบียบวินัย เพื่อให้นักเรียนได้รับประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาทักษะชีวิต โดยให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ลงมือทำกิจกรรมในลักษณะต่างๆ ที่ได้ประยุกต์ใช้ความรู้ทั้งจากแหล่งเรียนรู้ภายในและภายนอกสถานศึกษา เพื่อให้เกิดทักษะการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์