บทคัดย่อ
การพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการ บ้านนักวิทยาสตร์น้อย โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง1 ใช้เป็นสื่อการสอนในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ที่เน้นพัฒนาการ 4 ด้าน คือ ด้านร่างกาย อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญา และเชื่องโยงกับกิจกรรม การเรียน 6 กิจกรรมของเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน 6 กิจกรรม คือกิจกรรมของเด็กปฐมวัยในแต่ละวัน 6 กิจกรรม คือ กิจกรรมการเคลื่อนไหวและจังหวะ กิจกรรมเสริมประสบการณ์ กิจกรรมสร้างสรรค์ กิจกรรมเสรี กิจกรรมกลางแจ้ง และกิจกรรมเกมการศึกษา จะช่วยให้นักเรียนมีทักษะพื้นฐานกิจกรรมวิทยาศาสตร์ เป็นการพัฒนากิจกรรมการเรียนการสอนที่ส่งผลให้นักเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ ดังนั้นการศึกษาค้นคว้าในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อสร้างและพัฒนาชุดการเรียนการสอนกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยที่ได้รับการจัดประสบการณ์ด้วยการใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ 3) เพื่อศึกษาทักษะพื้นฐานด้านกิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย โดยให้นักเรียนจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 มีทักษะพื้นฐานทางด้านกิจกรรมวิทยาศาสตร์
ร้อยละ 80 ขึ้นไป กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ เด็กชาย - หญิง ที่มีอายุระหว่าง 4-5 ปี ที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นปฐมวัยปีที่ 2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา2561 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง1 อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี จำนวน 25 คนเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า คือ 1) แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้ กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย แบบทดสอบวัดทักษะพื้นฐานทางด้านกิจกรรมวิทยาศาสตร์ก่อนและหลังเรียนด้วยการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานและการทดสอบค่า t-test (Dependent Samples)
ผลจากการศึกษาพบค้นคว้า
1. ชุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่2 (4ปี) ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นมี จำนวน 20 ชุด ประกอบด้วย (1) กิจกรรมเนินน้ำ (2) กิจกรรมไหลแรงหรือไหลค่อย (3) กิจกรรมหลอดดำน้ำ (4) กิจกรรมการกรองน้ำ (5) กิจกรรมสนุกกับฟองสบู่ (6) กิจกรรมลมอ่อนๆพัดผ่านห้อง (7) กิจกรรมปั้มขวดและลิฟต์เทียน (8) กิจกรรมกักน้ำไว้ได้ (9) กิจกรรมสถานีเติมลม (10) กิจกรรมลูกโป่งฟองตัวและขวดยุบเองได้ (11) กิจกรรมปริมาณน้ำไม่เท่ากัน (12)กิจกรรมพับหรือตัดก็ทับกันสนิท (13) กิจกรรมท่องทำนองของตัวเลข (14) กิจกรรมการจัดหมวดหมู่ (15) กิจกรรมฟองสบู่รูปสี่เหลี่ยมและทรงกลม (16) กิจกรรมผงลึกลับ (17) กิจกรรมภูเขาไฟระเบิด (18) กิจกรรมน้ำมะนาวโซดาแสนอร่อย (19) กิจกรรมเมล็ดพืชเต้นระบำ (20) กิจกรรมการเผาไหม้ เมื่อพิจารณาความเห็นในการประเมิน มี 13 ข้อที่ได้ค่า (X ̅= 4.8 ) คือ คำชี้แจงการใช้ชุดกิจกรรมมีความชัดเจนอ่านเข้าใจง่าย ขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมมีความชัดเจน สาระการเรียนรู้มีความยากง่ายเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน การเรียบเรียงสาระการเรียนรู้มีลำดับขั้นตอนจากง่ายไปหายากอย่างเหมาะสม ภาษาที่ใช้มีความชัดเจน ถูกต้อง และเหมาะสม รูปแบบวิธีการจัดการเรียนรู้มีความหลากหลาย ขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้มีความเหมาะสม กิจกรรมส่งเสริมความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ส่งเสริมการทำงานกลุ่มและความสามัคคี งานที่กำหนดมีความเหมาะสมกับระดับความสามารถของนักเรียน วิธีการวัดผลและประเมินผลมีความหลากหลายเน้นตามสภาพความจริง ใบงาน แบบฝึกหัด
มีจำนวนพอเหมาะและเร้าความสนใจของนักเรียนและวิธีการประเมินช่วยให้นักเรียนเข้าใจถึงระดับความรู้ความสามารถของนักเรียนแต่ละคนดีขึ้น มี 4 ข้อ ค่า (X ̅= 4.6) เวลาที่ใช้จัดกิจกรรมมีความเหมาะสม ภาพประกอบสื่อความหมายได้ชัดเจน เหมาะสม สาระการเรียนรู้มีความละเอียดสมบรูณ์ถูกต้อง นักเรียนมีส่วนรวมในการประเมินผลงานตนเองและประเมินผลงานเพื่อน มี 2 ข้อ ค่า (X ̅= 4.4) สาระการเรียนรู้มีความสอดคล้องกับมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด แบบประเมินและเกณฑ์การใช้คะแนนชัดเจนนำมาใช้ได้ง่าย มี 1 ข้อ ค่า (X ̅= 4.2) รูปเล่มมีความสวยงามน่าอ่าน
2. ผลการวิเคราะห์การวัดความสามารถในการคิดแก้ปัญหาของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย (X ̅= 35.40) สูงกว่าคะแนนก่อนการทดลอง(X ̅= 26.80) เมื่อพิจารณาคะแนนเฉลี่ยแต่ละปัญหาพบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยในแต่ละปัญหา คือ ปัญหาผู้อื่นแต่นักเรียนอยู่ในเหตุการณ์ ปัญหาตนเองที่ต้องรีบแก้ไขทันที ปัญหาตนเองที่ไม่ต้องรีบแก้ไขทันทีและปัญหาตนเองที่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น สูงกว่าก่อนการทดลอง และในแต่ละปัญหามีคะแนนเฉลี่ยแตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่าการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยส่งเสริมให้นักเรียนมีความสามารถในการแก้ปัญหาสูงขึ้นก่อนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01
3. ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของการเรียนการสอนเน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) คะแนนจากการทำแบบทดสอบท้ายหน่วยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 75.84 จากคะแนนเต็ม 80 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 94.8 ของคะแนนเต็มและคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบหลังเรียนด้วยชุดการเรียนการสอน เท่ากับ 22.2 จากคะแนนเต็ม 25 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 89.6 ที่ตั้งไว้ จึงกล่าวได้ว่าชุดการเรียนการสอนกิจกรรมวิทยาศาสตร์โดยเน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้ สำหรับเด็กปฐมวัยปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาลแหลมฉบัง 1 เป็นการพัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ ตามขั้นตอนและกระบวนการอย่างเป็นระบบ เพื่อให้กิจกรรมการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ตลอดจนผู้สนใจ ได้ศึกษานำไปเป็นแนวทางการศึกษาการพัฒนาแผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ในกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีคุณภาพในครั้งต่อไป
6.1 ผลการสร้างและพัฒนาชุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4 ปี)ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน พบว่ามีความสอดคล้อง เหมาะสมกันทั้งด้าน เนื้อหา จุดประสงค์ ทั้งนี้อาจเนื่องจากกระบวนการสร้างชุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อยที่ผู้ศึกษาได้สร้างตามขั้นตอนของหลักวิชาการ โดยมีการศึกษาปัญหา จดบันทึก เก็บรวบรวมข้อมูล ศึกษาปรัชญาหลักวิธีการสอน ศึกษาเนื้อหา จากคู่มือครู หนังสือ และตำราต่างๆ ศึกษางานวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการสร้างและการพัฒนาชุดชุดการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสร์น้อยและนำไปปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสนอแนะรูปแบบของการเรียนที่เหมาะสม ส่งผลให้ ชุดกิจกรรมการเรียนการสอน ดีในทุกชุดกิจกรรม และยังสอดคล้องกับงานวิจัยของ วศินี อิสระเสนา ณ อยุธยา (2545 : 79) ได้ศึกษาและพัฒนาความคิดสร้างสรรค์นักเรียนชั้นเด็กเล็ก จากประสบการณ์ วางแผน ปฏิบัติ ทบทวน ตามแนวการสอนแบบไฮสโคป พบว่าด้านความคิดคล่องแคล่วและความคิดริเริ่มแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนด้านความคิดละเอียดลออ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และความคิดสร้างสรรค์โดยรวมแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐาน แสดงว่านักเรียนมีความคิดสร้างสรรค์ดีขึ้น หลังจากที่ได้รับการจัดประสบการณ์การสอนแบบไฮสโคปและ พันธิตรา เกาะสุวรรณ์ (2546 : 56) ได้ศึกษาผลการเรียนรู้แบบไฮสโคป ที่มีต่อความคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) ผลการศึกษาพบว่า 1. นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 ที่ได้รับการเรียนรู้แบบไฮสโคป มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 2.นักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) ที่ไม่ได้เรียนรู้แบบไฮสโคป มีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ.05 3. นักเรียนชั้นอนุบาล 2 ที่ได้รับการเรียนรู้แบบไฮสโคปและที่ไม่ได้รับการเรียนรู้แบบไฮสโคปมีความคิดสร้างสรรค์ไม่แตกต่างกัน
6.2 ผลการวิเคราะห์เปรียบเทียบความสามารถในการคิดแก้ปัญหา ของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย ก่อนและหลังการจัดประสบการณ์ สูงกว่า ก่อนอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และยังมีวิจัยที่เกี่ยวข้องสอดคล้อง จินดาพร แก้วลายทอง (2551 : 102-103) ได้ศึกษาผลของการจัดกิจกรรมตามแนวคิดไฮสโคปที่มีต่อความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัย ผลการวิจัยพบว่า (1) ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมตามแนวคิด High/Scope หลังได้รับการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (2) ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบปกติ หลังได้รับการจัดกิจกรรมสูงกว่าก่อนการจัดกิจกรรมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 (3) ความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมตามแนวคิด High/Scope หลังได้รับการจัดกิจกรรมสูงกว่าความสามารถในการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดกิจกรรมแบบปกติอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 กวีณา จิตนุพงศ์ (2551 : 90) ได้ศึกษาผลของความสามารถการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย มีจุดมุ่งหมายศึกษาผลของความสามารถทางการแก้ปัญหาของเด็กปฐมวัยที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชายหญิง อายุ 45 ปี ชั้นอนุบาล 2 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2551 โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัยรามคำแหง (ฝ่ายประถม) จานวนเด็ก 25 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยวิธีการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ แผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้การจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยและแบบทดสอบวัดความสามรถในการแก้ปัญหาพบว่า หลังการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยเด็กปฐมวัยมีค่าเฉลี่ยความสามารถการแก้ปัญหาโดยรวมแตกต่างจากก่อนการจัดการเรียนรู้แบบเด็กนักวิจัยอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับp< .05(F=6.471) โดยการทดลองครั้งนี้ส่งผลต่อความสามารถการแก้ปัญหาโดยรวมร้อยละ 21.2
6.3 ผลค่าเฉลี่ยจากการสังเกตความพึงพอใจโดยรวมของนักเรียนชั้นอนุบาลปีที่ 2 (4ปี) ที่ได้รับการจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เน้นทักษะการปฏิบัติโดยใช้กิจกรรมโครงการบ้านนักวิทยาศาสตร์น้อย (X ̅ = 1.89) มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจอยู่ในระดับชอบทุกกิจกรรม