ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
ผู้รายงาน สุธาทิพย์ บุญกล่อม
ปีที่วิจัย 2561
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (ห้วยมุด) สังกัดเทศบาลเมืองนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาองค์ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 2) เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 3) เพื่อทดลองรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 4) เพื่อศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ได้แก่ 4.1) เปรียบเทียบทักษะการสอนของครูจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 4.2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนก่อนและหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 4.3) เปรียบเทียบผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-NET) ของผู้เรียนก่อนและหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน 4.4) ประเมินความพึงพอใจเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
ประชากรที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ มีจำนวน 74 คน ประกอบด้วย นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 12 คน ผู้ปกครองจำนวน 12 คน ผู้ทรงคุณวุฒิจำนวน 15 คน ครูและคณะกรรมการสถานศึกษาจำนวน 35 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้มาโดยวิธีเฉพาะเจาะจง แบ่งแหล่งข้อมูลเป็น 4 ระยะ ดังนี้ระยะที่ 1 วิจัย (R1/ Research) กลุ่มตัวอย่างได้แก่ ครูและกรรมการสถานศึกษา จำนวน 35 คน โดยศึกษาจากจำนวนประชากร ระยะที่ 2 พัฒนา (D1/Development) กลุ่มตัวอย่างในการวิจัยครั้งนี้ ได้มาโดยวิธีเฉพาะเจาะจง (Perposive Sampling) มีจำนวน 15 คน ประกอบด้วย ผู้ทรงคุณวุฒิทางการศึกษาจำนวน 2 คน อาจารย์มหาวิทยาลัย จำนวน 2 คน คณะกรรมการสถานศึกษาจำนวน 3 คน ผู้อำนวยการกองการศึกษาจำนวน 1 คน ผู้บริหารสถานศึกษาจำนวน 3 คน ศึกษานิเทศก์จำนวน 2 คน และครูเชี่ยวชาญจำนวน 2 คน ระยะที่ 3 ทดลองใช้ (R2/ Research) แหล่งข้อมูล มีจำนวน 9 คน ประกอบด้วยครูที่ปฏิบัติการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และระยะที่ 4 ประเมินผล (D2/ Development) กลุ่มตัวอย่าง มีจำนวน 79 คน ประกอบด้วย นักเรียนจำนวน 12 คน ผู้ปกครองจำนวน 12 คน ครูและกรรมการสถานศึกษาจำนวน 35 คน โดยศึกษาจากจำนวนประชากร
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย แบบสัมภาษณ์เชิงโครงสร้าง แบบสอบถามความเหมาะสมและความเป็นไปได้ของการพัฒนารูปแบบ แบบวัดทักษะการสอนของครู แบบบันทึกผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบบันทึกผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-Net) และแบบสอบถามความพึงพอใจของการพัฒนารูปแบบรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน
ผลการวิจัยพบว่า
ผลการวิจัยการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (ห้วยมุด) สังกัดเทศบาลเมืองนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฏร์ธานี สรุปได้ดังนี้
1. ผลการศึกษาองค์ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยรวมมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตกต่ำ
2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ผู้วิจัยให้กลุ่มตัวอย่างดำเนินการจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ตลอดปีการศึกษา 2561 และวิเคราะห์ผลการประเมินและสรุปผลการประเมินในระยะต่อไป
4. ผลการประเมินการรูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ดังนี้
4.1 ผลการเปรียบเทียบทักษะการสอนของครูจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่าทักษะการสอนของครูก่อนและหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
4.2 ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน มีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
4.3 ผลการเปรียบเทียบผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-Net) ของนักเรียนจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่า ผลการทดสอบการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับชาติ (O-Net) ของนักเรียนก่อนและหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน พบว่ามีค่าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น
4.4 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียน ผู้ปกครอง กรรมการสถานศึกษาและครูจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการด้วยวิธีการสอนแบบ Active Learning เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยรวมในระดับมากที่สุด
4.4.1 ผลการประเมินความความพึงพอใจของนักเรียน โดยรวมในระดับมากที่สุด
4.4.2 ผลการประเมินความความพึงพอใจของผู้ปกครองโดยรวมในระดับ
4.4.3 ผลการประเมินความพึงพอใจของครูและกรรมการสถานศึกษาโดยรวมในระดับมาก
ชื่อเรื่อง รายงานการประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน
ผู้รายงาน สุธาทิพย์ บุญกล่อม
ปีที่วิจัย 2561
บทคัดย่อ
การประเมินโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน โรงเรียนเทศบาล ๑ (ห้วยมุด) เทศบาลเมืองนาสาร อำเภอบ้านนาสาร จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยใช้รูปแบบชิปป์ (CIPP Model) ในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) ประเมินบริบท (Context) ของโครงการตามตัวชี้วัด ความต้องการจำเป็นของการทำโครงการและความเป็นไปได้ของโครงการ (2) ประเมินปัจจัยเบื้องต้น (Input) ของโครงการตามตัวชี้วัด ความเหมาะสมของบุคลากรและความเหมาะสมของกิจกรรม (3) ประเมินกระบวนการ (Process) ของโครงการตามตัวชี้วัดการดำเนินงานของกิจกรรมที่ดำเนินการตามภารกิจของโครงการการติดตามและประเมินผลโครงการ (4) ประเมินผลผลิต (Product) ของโครงการตามตัวชี้วัดทักษะการอ่านของผู้เรียน สัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน นิสัยรักการอ่านของผู้เรียน และระดับความพึงพอใจของผู้เรียน ผู้ปกครอง ครูและกรรมการสถานศึกษา
ประชากรที่ใช้ประเมินทั้งสิ้น จำนวน 417 คน ประอบด้วย นักเรียน จำนวน 191 คน ผู้ปกครอง จำนวน 191 คน ครูและกรรมการสถานศึกษา จำนวน 35 คน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการประเมิน จำนวน 289 คน ประกอบด้วย กลุ่มตัวอย่างโดยวิธีการสุ่มตัวอย่างอย่างง่าย (Simple Lamdom Sampling) กำหนดจำนวนกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของเครจซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgan) ได้แก่ นักเรียน จำนวน 127 คน ผู้ปกครอง จำนวน 127 คน สำหรับครูและกรรมการสถานศึกษา จำนวน 36 คน ศึกษาจากประชากร
เครื่องมือที่ใช้ในการประเมิน จำนวน 11 ฉบับ ประกอบด้วยแบบสอบถามแบบมาตรประมาณค่า 5 ระดับ (Rating Scale) จำนวน 6 ฉบับ แบบบันทึก รวมเป็น 1 ฉบับ และแบบสัมภาษณ์ จำนวน 2 ฉบับ
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลในการประเมินครั้งนี้ คือ ค่าร้อยละ (Percentage) ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน หาค่าความตรงเชิงเนื้อหาของเครื่องมือเก็บข้อมูลโดยสูตร IOC ใช้แอลฟาหาค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามโดยใช้สูตรของคอนบาร์ค
ผลการประเมินพบว่า
1. ผลการประเมินบริบทของโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก
2. ผลการประเมินปัจจัยนำเข้าของโครงส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก
3. ผลการประเมินกระบวนการของโครงส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมากที่สุด
4. ผลการประเมินผลการผลิตของโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นตัวชี้วัด ดังนี้
4.1 ทักษะการอ่าน พบว่าหลังจากเข้าร่วมโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่าน แล้วนักเรียนมีทักษะการอ่านผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับปานกลาง
4.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน พบว่าหลังจากเข้าร่วมโครงการส่งเสริมนิสัยรักการอ่านแล้วนักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับปานกลาง
4.3 นิสัยรักการอ่านของนักเรียน พบว่าผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก
4.4 ความพึงพอใจของนักเรียน พบว่าผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก
4.5 ความพึงพอใจของผู้ปกครอง พบว่าผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก
4.6 ความพึงพอใจของครูและกรรมการสถานศึกษา พบว่าผ่านเกณฑ์การประเมินในระดับมาก