การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาข้อมูลพื้นฐานและความต้องการจำเป็นในการพัฒนารูปแบบการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อพัฒนารูปแบบ
การเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ
เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 4) เพื่อประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้
ตามแนวพระราชดำริ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนี้ 4.1) ศึกษาระดับความสามารถในการคิดวิเคราะห์ก่อนและหลังการสอนด้วยรูปแบบการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ เพื่อส่งเสริมความสามารถใน
การคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์
4.) ศึกษาพัฒนาการทางทักษะการคิดสร้างสรรค์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้รูปแบบ
การเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ
เพื่องเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ ก่อนเรียน ระหว่างเรียน และหลังเรียน 4.3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้
ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนเทศบาลวัดท้ายตลาด
(กวีธรรมสาร) สังกัดกองการศึกษา เทศบาลเมืองอุตรดิตถ์ จำนวน 30 คน ด้วยวิธีการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย 1) แบบทดสอบความสามารถในการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อการคิดวิเคราะห์ 2) แบบทดสอบวัดความคิดสร้างสรรค์ 3) แผนการจัดการเรียนรู้ 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการสอนที่พัฒนา การวิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที (t-test)
ผลการศึกษาพบว่า
1. รูปแบบการเรียนการสอนการอ่านภาษาอังกฤษด้วยรูปแบบการเรียนรู้ ฉลาดรู้ ตามแนวพระราชดำริ เพื่อส่งเสริมความสามารถในการคิดวิเคราะห์และทักษะการคิดสร้างสรรค์ โดยใช้ข้อมูล OTOP นวัตวิถี ของดีเมืองอุตรดิตถ์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประกอบไปด้วย
5 องค์ประกอบ คือ หลักการ วัตถุประสงค์ การดำเนินงาน กระบวนการเรียนการสอน และการวัดประเมินผล รูปแบบการสอนนี้มีชื่อว่า PAPA Model มี 4 ขั้นคือ ขั้นที่ 1 ขั้นเตรียมการก่อนการอ่าน (Preparing for pre-reading: P) ประกอบด้วย การสร้างความตระหนัก (Raising Awareness),
การตั้งวัตถุประสงค์ในการอ่าน (Setting a purpose), การกระตุ้นความรู้เดิม (Activating Background Knowledge) ขั้นที่ 2 ขั้นศึกษาเรียนรู้ระหว่างการอ่าน (Acquiring for reading activity: A) ประกอบด้วย การเชื่อมโยง (Connecting), การร่วมคิดวิเคราะห์ (Analyzing) และการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ (Sharing) ขั้นที่ 3 ขั้นฝึกฝนหลังการอ่าน (Practicing for post-reading: P) ประกอบด้วย การสร้างองค์ความรู้ (Constructing), การถ่ายโอนข้อมูล (Transferring) และการสรุปการเรียนรู้ (Summarizing) ขั้นที่ 4 ขั้นประเมินผลการอ่าน (Assessing for reading outcome: A) ประกอบด้วย การสะท้อนกลับ (Reflecting), การสร้างสรรค์ผลงานร่วมกัน (Co-creation) และการประเมินเผล (Evaluation) ผลการวิจัยพบว่าแผนการเรียนรู้ภายใต้รูปแบบมีประสิทธิภาพ แผนการเรียนรู้ภายใต้รูปแบบ (E1/E2) คือจากการประเมินประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) เท่ากับ 81.62 และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2) เท่ากับ 82.05 (E1/E2) = 81.62/82.05
2. หลังการเรียนการสอนโดยใช้รูปแบบการเรียนการสอน (PAPA Model) กลุ่มตัวอย่าง
มีความสามารถในการในการอ่านคิดวิเคราะห์ สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05
3. ความคิดสร้างสรรค์ของกลุ่มตัวอย่างหลังการเรียนการสอน โดยใช้รูปแบบการเรียน
การสอน (PAPA Model) มีพัฒนาการสูงขึ้น
3. ความพึงพอใจของกลุ่มตัวอย่างที่มีต่อรูปแบบการเรียนการสอน (PAPA Model)
โดยภาพรวมอยู่ในระดับความพึงพอใจมาก