ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้
แบบบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดวิเคราะห์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ผู้วิจัย นายไพรสนธิ์ แพงทิพย์
ปีที่วิจัย 2561
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์การวิจัยเพื่อ 1) พัฒนาและหาประสิทธิภาพของรูปแบบการจัด
การเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการ เพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด 80/80 และ 2 ) ประเมินประสิทธิผลของรูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบ สืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5/2 ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนทุ่งกุลาประชานุสรณ์ อำเภอเกษตรวิสัย จังหวัดร้อยเอ็ด จำนวน 28 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยการจับสลาก เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการ คู่มือการใช้รูปแบบ แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง แบบประเมินความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และแบบสอบถามความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการ วิเคราะห์ข้อมูลโดยการหาค่าสถิติ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน t-test for dependent samples และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัย พบว่า
1. รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการเพื่อเสริมสร้างความสามารถในการคิดวิเคราะห์ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีชื่อว่า SDEDES Model มี 5 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) หลักการ การที่ผู้เรียนเป็นผู้สร้างความรู้ขึ้นเองและมีความสามารถในการคิดวิเคราะห์อย่างมีระบบ โดยมีปัญหาเป็นตัวกระตุ้นให้นักเรียนเกิดการสำรวจค้นคว้าหาข้อมูลพร้อมทั้งวิเคราะห์ สังเคราะห์ และนำข้อมูลไปใช้ในการแก้ปัญหา โดยมีครูทำหน้าที่แนะนำ ช่วยเหลือ สนับสนุน 2) วัตถุประสงค์ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ 3) กระบวนการจัดการเรียนรู้ ประกอบด้วย 6 ขั้น คือ (1) กระตุ้นผู้เรียน (Stimulation : S) (2) นิยามปัญหาและ สืบเสาะหาทางแก้ปัญหา (Define the Problem and Inquiry) : DI) (3) ตรวจสอบและอธิบาย (Examine and Explanation :EE) (4) อภิปราย และสรุป (Discussion and Conclusion : DC) (5) ขยายความคิด และประเมินผล (Expansion and Evaluation : EE) และ (6) สังเคราะห์หลักการที่ได้และนำไปใช้ (Synthesizing and Applying : SA)
4) การวัดและประเมินผล 2 ด้าน คือ ด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และด้านความสามารถในการคิดวิเคราะห์ และ5) เงื่อนไขสำคัญในการนำรูปแบบไปใช้ให้ประสบผลสำเร็จ ประกอบด้วย ผู้เรียนต้องมีความพร้อม ใฝ่รู้ใฝ่เรียน มีความรับผิดชอบ รู้จักการทำงานร่วมกันอย่างมีระบบ ซื่อสัตย์ มีวินัยและมุ่งมั่นในการทำงาน และใช้การรู้คิดได้อย่างเหมาะสม ครูต้องจัดสภาพแวดล้อมที่เอื้ออำนวยต่อการแสวงหาความรู้ของผู้เรียน โดยพบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 81.96/81.88
2. ประสิทธิผลของรูปแบบพบว่า 2.1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ เรื่อง การสังเคราะห์ด้วยแสง ของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 2.2) ความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 2.3) ความพึงพอใจของนักเรียน หลังการใช้รูปแบบการจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์แบบสืบเสาะหาความรู้แบบบูรณาการ
อยู่ในระดับมาก