ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนาแบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำ

การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ก่อนและหลังการเรียนจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง และ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง กลุ่มตัวอย่างคือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 23 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองได้แก่ 1) แบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง จำนวน 4 เรื่อง 2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 14 แผน รวมเวลา 20 ชั่วโมง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลอนสี่ แบบปรนัยชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามความคิดเห็น แบบมาตราส่วนประมาณค่าชนิด 5 ระดับของลิเคิร์ท จำนวน 10 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงมาตรฐานและการทดสอบค่าทีแบบไม่อิสระ (t-test แบบ Dependent)

ผลการศึกษา พบว่า

1. แบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 81.96/ 80.14

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลอนสี่ หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05

3. นักเรียนมีความคิดเห็นต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการเขียนกลอนสี่โดยใช้กิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มเพื่อนช่วยเพื่อน เทคนิค CIRC สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี เทศบาลตำบลแม่ขรี จังหวัดพัทลุง ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก

ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี

ผู้วิจัย นางไมตรี หนูจันทร์

ปีที่ทำวิจัย 2560-2561

การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ

คือ 1. เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี 2. เพื่อการพัฒนารูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี 3.เพื่อทดลองใช้รูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี สรุปผล และการวิเคราะห์ข้อมูล โดยใช้แบบแผนการทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลัง กลุ่มตัวอย่างที่ใช้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/1 ภาคเรียนที่ 1 การศึกษา 2561 โรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี จำนวน 25 คน ได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling ) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย 1) รูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการสอนอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี 2) แผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย 3) แบบวัดความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย 2) แบบวัดความพึงพอใจต่อการเรียนการสอนด้วยรูปแบบการสอนอ่าน วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่าที

ผลการวิจัย พบว่า

1. รูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของโรงเรียนอนุบาลเทศบาลตำบลแม่ขรี มีองค์ประกอบ 4 องค์ประกอบ ดังนี้ หลักการของรูปแบบการสอนอ่าน วัตถุประสงค์ของรูปแบบการสอนอ่าน เนื้อหาของรูปแบบการสอนอ่าน กระบวนการจัดการเรียนการสอน รูปแบบการสอนอ่าน ที่พัฒนาขึ้นชื่อ ว่า RERIE Model โดยแบ่งออกเป็น 5 ขั้นตอน คือ 1) ตรวจสอบความรู้เดิม (Reviewing Knowledge) :R) 2) สร้างเสริมประสบการณ์ใหม่ (Experience building :E ) 3) การอ่านอย่างตั้งใจ (Read :R) 4. จับใจความสำคัญ (Interpretation :I ) 5) การประเมินผล (Evaluation :E) และการประเมินผลรูปแบบการสอนอ่าน โดยมีคุณภาพของรูปแบบการสอนอ่านอยู่ในระดับมาก

2. นักเรียนที่เรียนด้วยรูปแบบการสอนอ่านเพื่อความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย มีความเข้าใจ

ในการอ่านภาษาไทยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .01 และมีความพึงพอใจต่อการ

เรียนการสอนด้วยรูปแบบการสอนอ่านอยู่ในระดับมากที่สุด

ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง

ผู้วิจัย นางสาววิไล บุญญานุวัตร

ปีที่ทำวิจัย 2560-2561

บทคัดย่อ

การวิจัยครั้งนี้ใช้ระเบียบวิธีการวิจัยและพัฒนา (Research and Development) มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ คือ 1.เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง 2. เพื่อการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง 3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง 4. เพื่อประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง ดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นตอน ที่ 1 สำรวจสภาพการดำเนินงานและปัญหาของการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา จากผู้ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ผู้บริหาร ครู คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน เครือข่ายผู้ปกครอง และวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในของการบริหารวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดศึกษา ขั้นตอน ที่ 2 การออกแบบและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่เป็นครูและนักเรียนโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ ปีการศึกษา 2561 และขั้นตอนที่ 4 หาประสิทธิผลของรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา และการรับรองรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยมี 5 ฉบับ คือ 1) แบบสอบถามสภาพการดำเนินงานการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา 2) ประเด็นการสนทนากลุ่ม (Focus group Discussion ) 3) ประเมินผลความเหมาะสม ความเป็นไปได้ของรูปแบบ และ 5) แบบสอบถามความคิดเห็นของครูที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา การวิเคราะห์ข้อมูลใช้สถิติภาคบรรยาย และการวิเคราะห์เนื้อหา ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้

1) สภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการ เพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียน

เทศบาลวัดธาราสถิตย์ พบว่า สภาพและปัญหาการบริหารงานวิชาการของโรงเรียน 8 ด้านอยู่ในระดับปานกลางถึงมากมีปัญหาคือ ครูขาดประสบการณ์ ขาดการนิเทศ

2)สภาพแวดล้อมภายนอกและภายในของการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เป็นโอกาส คือ การได้รับงบประมาณสนับสนุนจากต้นสังกัด อย่างต่อเนื่อง ส่วนสภาพแวดล้อมภายนอกที่เป็นภาวะคุกคาม สภาพครอบครัวของนักเรียนไม่มั่นคง มีปัญหาการแยกกันอยู่ นักเรียนย้ายตามผู้ปกครอง สำหรับสภาพแวดล้อมภายในที่เป็นจุดแข็ง คือผู้บริหารมีภาวะผู้นำ มีวิสัยทัศน์ และมีความสามารถในการบริหารจัดการงานวิชาการและสภาพแวดล้อมภายในที่เป็นจุดอ่อนคือ ระบบการดูแลช่วยเหลือนักเรียนที่ไม่เข้มแข็ง

3) รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษา โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ ที่พัฒนาขึ้น คือ 5P Model ประกอบด้วย 1) (P1 : Plan ) การวางแผนระบบงานวิชาการสู่คุณภาพการศึกษา 2) (P2 : Personal) การพัฒนาบุคลากรสู่คุณภาพการศึกษา 3) (P3 : Process of Curriculum ) การพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนสู่คุณภาพการศึกษา 4) (P4 : Participation) การสร้างเครือข่ายความรู้สู่คุณภาพการศึกษา 5) (P5 : Performance) การนิเทศ กำกับ ติดตาม ประเมินผล สู่คุณภาพการศึกษา

4 )ประสิทธิภาพของรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาของ

โรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ มีความเหมาะสม เป็นไปได้ และเป็นประโยชน์โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก

ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เทศบาลตำบลโคกชะงาย จังหวัดพัทลุง

ผู้วิจัย นางสาววิไล บุญญานุวัตร

ปีที่ทำวิจัย 2560-2561

บทคัดย่อ

การวิจัยในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อออกแบบและสร้างรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาล วัดธาราสถิตย์ และศึกษา ความเหมาะสมในการนำไปใช้ ของรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ ใช้ระเบียบวิธีวิจัย ใช้วิธีการวิจั ยและพัฒนา (Research & Development) ดำเนินการวิจัยเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1) ศึกษาสภาพการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยงจากโรงเรียน กลุ่มตัวอย่าง โดยการศึกษาข้อมูลเชิงคุณภาพ จำนวน 40 คน ด้วยแบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง กลุ่มตัวอย่างเลือกแบบเจาะจง คือ หัวหน้างานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน ครูที่ปรึกษา ครูฝ่ายปกครอง ครูแนะแนว เครือข่ายผู้ปกครองนักเรียน โดยใช้เทคนิคสรุปสาระสำคัญแจกแจงความถี่ ของผู้ตอบแต่ละรายการ นำผลมาสังเคราะห์เป็นรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง แล้วศึกษาความสมบูรณ์ของรูปแบบโดย การจัดประชุมสัมมนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ (Focus Group Disscusion) ของผู้เชี่ยวชาญด้านการ

บริหารการศึกษา ด้านการแนะแนว ด้านระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียน จำนวน 10 คน โดยใช้เทคนิคการวิเคราะห์เนื้อหา จัดหมวดหมู่ ข้อมูลที่ได้จากการสนทนากลุ่ม และวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป 2) ศึกษาประสิทธิผลของรูปแบบด้านประสิทธิภาพ การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยงและการลดภาวะเสี่ยงของนักเรียนกลุ่มเสี่ยงรายบุคคล โดยทำการทดลองกับโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ รูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง เป็น รายบุคคล แล้ว 3) ศึกษาความเหมาะสมในการนำไปใช้ ของรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือ นักเรียนกลุ่มเสี่ยง จากผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารการศึกษา ด้านการแนะแนว ด้านการดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 10 คน เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แบบสอบถามความเหมาะสมในการนำไปใช้ ของรูปแบบ การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ จำนวน ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน

ผลการวิจั ยพบว่า

1.การออกแบบและสร้างรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ มีผลการวิจัย ดังนี้

1.1 สภาพการดำเนินงานของโรงเรียนเกี่ยวกับการดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่ม

เสี่ยง พบว่า มีการดำเนินการในด้านวิธีการแก้ไขและผลลัพธ์ ด้านระบบและกลไก และด้านปัญหาอุปสรรค

1.2 รูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนั กเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียน

เทศบาลวัดธาราสถิตย์ ประกอบด้วย 5 องค์ประกอบ ได้แก่ ยุทธศาสตร์ โครงสร้างการบริหารและบทบาทหน้าที่ การดำเนินงาน การกำกับ ติดตามผลการดำเนินงาน และการประเมินผลและรายงานผล

2. ประสิทธิผลของรูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ พบว่า การดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มเสี่ยง มีประสิทธิภาพอยู่ในระดับมาก และนั กเรียนกลุ่มเสี่ยงมีภาวะเสี่ยงลดลง

3. รูปแบบการดำเนินงานระบบดูแลช่วยเหลือนั กเรียนกลุ่มเสี่ยง ของโรงเรียนเทศบาลวัดธาราสถิตย์ มีความเหมาะสมในการนำไปใช้อยู่ใน ระดับมาก

โพสต์โดย บี : [30 ส.ค. 2562 เวลา 07:32 น.]
อ่าน [2864] ไอพี : 110.78.171.97
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 14,274 ครั้ง
เตือนน้ำมังคุด ไม่ได้ช่วยรักษาโรค
เตือนน้ำมังคุด ไม่ได้ช่วยรักษาโรค

เปิดอ่าน 13,907 ครั้ง
 วันอาสาฬหบูชา
วันอาสาฬหบูชา

เปิดอ่าน 18,201 ครั้ง
ไขปริศนา ทำไม "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ชอบใส่เสื้อ"เหมือนกัน"ทุกวัน
ไขปริศนา ทำไม "มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์ก" ชอบใส่เสื้อ"เหมือนกัน"ทุกวัน

เปิดอ่าน 13,265 ครั้ง
วิธีสำหรับทำให้ผิวขาวใส แบบไร้สารเคมี
วิธีสำหรับทำให้ผิวขาวใส แบบไร้สารเคมี

เปิดอ่าน 9,719 ครั้ง
วิลล่า เมดิคา พาอัพเดท ดูแลสุขภาพแนวใหม่
วิลล่า เมดิคา พาอัพเดท ดูแลสุขภาพแนวใหม่

เปิดอ่าน 18,382 ครั้ง
สุดประทับใจ! ครูสาวแบกนร.หญิงป่วยหนัก เดินลงจากดอยไปส่งรพ.
สุดประทับใจ! ครูสาวแบกนร.หญิงป่วยหนัก เดินลงจากดอยไปส่งรพ.

เปิดอ่าน 16,334 ครั้ง
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

เปิดอ่าน 15,352 ครั้ง
ทำไมคนไทยปฏิรูปการศึกษาไม่ได้ผล
ทำไมคนไทยปฏิรูปการศึกษาไม่ได้ผล

เปิดอ่าน 10,767 ครั้ง
ตัดวงจรเครียด...ก่อนระเบิด
ตัดวงจรเครียด...ก่อนระเบิด

เปิดอ่าน 17,345 ครั้ง
ประโยชน์ของ "ผักแพว"
ประโยชน์ของ "ผักแพว"

เปิดอ่าน 13,980 ครั้ง
เตือน! โทรไม่ติดวางสายก่อน 6 วิ ไม่งั้นเสียเงิน
เตือน! โทรไม่ติดวางสายก่อน 6 วิ ไม่งั้นเสียเงิน

เปิดอ่าน 16,139 ครั้ง
ตำแหน่ง "สิว" บอกสุขภาพ
ตำแหน่ง "สิว" บอกสุขภาพ

เปิดอ่าน 11,273 ครั้ง
โยคะดีกับผิว เหมาะกับวัย
โยคะดีกับผิว เหมาะกับวัย

เปิดอ่าน 17,754 ครั้ง
จิตรกรรมและศาสนา
จิตรกรรมและศาสนา

เปิดอ่าน 22,677 ครั้ง
ไอเดีย..โครงสร้างศธ.รูปแบบใหม่สลาย5แท่งหวนสู่ "กรม"!
ไอเดีย..โครงสร้างศธ.รูปแบบใหม่สลาย5แท่งหวนสู่ "กรม"!

เปิดอ่าน 5,436 ครั้ง
วิธีเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว
วิธีเลือกสกินแคร์ให้เหมาะกับผิว
เปิดอ่าน 12,021 ครั้ง
4 อาหารสลายพุง
4 อาหารสลายพุง
เปิดอ่าน 40,248 ครั้ง
ธุรกิจออนไลน์ที่น่าลงทุนในปี 2020 สำหรับสร้างรายได้เสริม
ธุรกิจออนไลน์ที่น่าลงทุนในปี 2020 สำหรับสร้างรายได้เสริม
เปิดอ่าน 104,293 ครั้ง
ฃ ขวดกับ ฅ คนหายไปตั้งแต่เมื่อไร
ฃ ขวดกับ ฅ คนหายไปตั้งแต่เมื่อไร
เปิดอ่าน 12,754 ครั้ง
อึ้ง! คลิปเด็กรัสเซียเตะครู
อึ้ง! คลิปเด็กรัสเซียเตะครู

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ