ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาการใช้เอกสารประกอบการเรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
ชื่อผู้วิจัย นางสาวสุภาวดี แซ่โค้ว
สถานศึกษา โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี)
สังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลนครหาดใหญ่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา
ปีที่ทำการวิจัย ปีการศึกษา 2561
บทคัดย่อ
รายงานการพัฒนาการใช้เอกสารประกอบการเรียน กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) นี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพเอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ก่อนและหลังเรียนของนักเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) ที่มีต่อการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5/3โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) สำนักการศึกษาเทศบาลนครหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 จำนวน 41 คน ซึ่งได้มาจากการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล คือ เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยที่ 1-3จำนวน 3 หน่วย 3 เล่ม แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 18 แผน ไม่รวมแผนปฐมนิเทศแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) หน่วยที่ 1-3 เป็นแบบเลือกตอบชนิด 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 หน่วยที่ 1-3เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า จำนวน 12 ข้อ และสถิติที่ใช้ประกอบด้วย สถิติพื้นฐานได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน สถิติทดสอบสมมติฐานในการทดสอบทีแบบไม่อิสระ สถิติที่ใช้หาคุณภาพเครื่องมือ ได้แก่ การหาค่าความเที่ยงตรงตามสูตรของ IOC การหาค่าความเชื่อมั่นแบบทดสอบตามสูตร KR-20 หาค่าความเชื่อมั่นแบบสอบถามตามสูตรสัมประสิทธิแอลฟา และสถิติหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนใช้ E1/E2
ผลการวิจัย พบว่า
1) ผลการหาประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า มีประสิทธิภาพ E1/E2 = 85.27/86.75 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด 80/80 โดยภาพรวมและรายเล่ม สอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้
2) ผลการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า โดยภาพรวมคะแนนหลังเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 86.75 ( เฉลี่ย = 86.75 , S.D. = 1.08) สูงกว่าก่อนเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 32.68 ( เฉลี่ย = 32.68 , S.D. = 6.54) มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 เป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้
3) ผลการศึกษาดัชนีประสิทธิผลของเอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 80.32 หรือ เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 สามารถช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 80.32 สูงกว่าสมมติฐานที่ตั้งไว้ร้อยละ 65.00
4) ผลการศึกษาความพึงพอใจต่อการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาล ๑ (เอ็งเสียงสามัคคี) ที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 พบว่า นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนรู้โดยใช้เอกสารประกอบการเรียนกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน (ลูกเสือ-เนตรนารี) ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 มีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก ( เฉลี่ย = 4.09 , S.D. = 3.15) ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานที่ตั้งไว้