การวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงทดลอง (Experimental Research) โดยใช้แบบแผนการวิจัยแบบ Randomized Control- Group Pretest – Posttest Design มีวัตถุประสงค์ของการวิจัยเพื่อ1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือกัน (STAD) 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ก่อนเรียนและหลังเรียนด้วยวิธีสอนแบบปกติ 3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการสอนแตกต่างกัน 2 วิธี คือ วิธีการสอนแบบร่วมมือกัน (STAD) และวิธีการสอนแบบปกติ 4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนแบบร่วมมือกัน (STAD) วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 และ5) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนแบบปกติ วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/2 และนักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/7 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 โรงเรียนพิบูลมังสาหาร อำเภอพิบูลมังสาหาร สังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัดอุบลราชธานี จำนวน 80 คน ซึ่งได้มาจากวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยในการสุ่ม เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย1) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนด้วยวิธีสอนแบบร่วมมือกัน(STAD) จำนวน 11 แผน 2) แผนการจัดการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่สอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ จำนวน 11 แผน 3)แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ และ 5) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อวิธีการสอนทั้ง 2 วิธี จำนวน 20 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลคือ ร้อยละ(%), ค่าเฉลี่ยเลขคณิต (x̄ ), ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) การทดสอบ t แบบสองกลุ่มสัมพันธ์กัน (Dependent Samples t-test) และแบบสองกลุ่มอิสระต่อกัน (Independent Samples t-test) ผลการวิจัยพบว่า
1. นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบร่วมมือกัน(STAD) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน ( x̄ = 26.18, S.D. = 2.09) สูงกว่าก่อนเรียน (x̄ = 12.40, S.D. = 1.91)
2. นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ ก่อนเรียนและหลังเรียนแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักเรียนมีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียน (x̄ = 23.28, S.D. = 2.51) สูงกว่าก่อนเรียน ( x̄ = 12.15, S.D. = 2.13)
3. นักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบร่วมมือกัน (STAD) และนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง การแจกแจงปกติ แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 โดยนักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบร่วมมือกัน (STAD) มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน( x̄ = 26.18, S.D. = 2.09) สูงกว่านักเรียนที่ได้รับการสอนด้วยวิธีสอนแบบปกติ (x̄= 23.28, S.D. = 2.51)
4. นักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อวิธีการสอนแบบร่วมมือกัน (STAD) วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง
การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄ = 4.51, S.D. = 0.15)
5. นักเรียนมีความพึงพอใจที่มีต่อวิธีการสอนแบบปกติ วิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติม เรื่อง
การแจกแจงปกติ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก (x̄ = 4.26, S.D. = 0.16)