การใช้แบบฝึกทักษะภาษาไทย เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
อรุณรัตน์ ระวิโชติ*
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีความมุ่งหมายของการวิจัยเพื่อ 1) สร้างแบบฝึกทักษะ เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 3) เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด และ 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะภาษาไทย กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จำนวน 28 คน เครื่องมือที่ใช้คือ แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องมาตราตัวสะกด ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบชนิด 3 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 30 คะแนน และแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด สถิติที่ใช้ในการศึกษา คือ ค่าเฉลี่ย ร้อยละ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ผลการวิจัย สรุปได้ดังนี้ 1) แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 85.63/80.12 เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้ คือ 80/80 2) ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.6542 หรือมีความรู้เพิ่มขึ้นจริงคิดเป็นร้อยละ 65.42 3) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสูงกว่าก่อนเรียน โดยสูงขึ้น 12.19 คะแนน 4) ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
คำสำคัญ ทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกด, แบบฝึกทักษะ, ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
*ตำแหน่งครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการพิเศษ โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ
บทนำ
ภาษาไทยเป็นเอกลักษณ์ของชาติเป็นสมบัติทางวัฒนธรรมอันก่อให้เกิดความเป็นเอกภาพ และเสริมสร้างบุคลิกภาพของคนในชาติให้มีความเป็นไทย ภาษาไทยถือได้ว่าเป็นเครื่องมือในการติดต่อสื่อสารเพื่อสร้างความเข้าใจและความสัมพันธ์อันดีต่อกัน ทำให้ผู้ติดต่อสื่อสารกันสามารถประกอบกิจธุระ การงานและการดำรงชีวิตร่วมกันในสังคมในระบอบประชาธิปไตยได้อย่างสันติสุข เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้และประสบการณ์จากแหล่งข้อมูลสารสนเทศต่าง ๆ เพื่อพัฒนาความรู้ กระบวนการคิดวิเคราะห์วิจารณ์ และสร้างสรรค์ให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลอดจนนำไปใช้ในการพัฒนาอาชีพให้มีความมั่นคงทางเศรษฐกิจภาษาไทยยังเป็นสื่อที่แสดงออกถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษทางด้านวัฒนธรรม ประเพณี สุนทรียภาพเป็นสมบัติอันล้ำค่าที่ควรแก่การอนุรักษ์และสืบสานการเรียนรู้ให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป (กรมวิชาการ. 2551 : 37) ซึ่งการจัดกิจกรรมการการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยในปัจจุบันมิได้มุ่งหวังให้นักเรียนอ่านออกเขียนได้แต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังมุ่งหวังให้นักเรียนสามารถนำความรู้ความสามารถ ด้านภาษาไทยไปใช้ให้เกิดประโยชน์ได้จริง สามารถสื่อสารกับผู้อื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผลใช้เป็นเครื่องมือในการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น และใช้เทคโนโลยีในการสื่อสารได้เป็นอย่างดี รวมทั้งต้องรักษาภาษาไทยไว้ในฐานะที่เป็นสมบัติของชาติด้วย (กรมวิชาการ. 2544 : 21)
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระภาษาไทยตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 มุ่งส่งเสริมให้นักเรียนสามารถพัฒนาตนเองอย่างมีความสุขมีวิธีแสวงหาความรู้ เชื่อมโยงความรู้ วิเคราะห์ข้อมูลข่าวสาร ใช้ทักษะทางภาษาเพื่ออภิปรายรายงานจดบันทึก รวบรวมข้อมูลต่างๆ ได้อย่างเป็นระบบ เรียนรู้อย่างมีอิสระมีความรับผิดชอบมีวินัย มีค่านิยมที่พึงประสงค์อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ และนำความรู้ไปใช้ประโยชน์ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนภาษาไทยให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้จะต้องคำนึงถึงผู้เรียนเป็นสำคัญ มีกิจกรรมที่หลากหลายเหมาะสมกับผู้เรียน โดยคำนึงถึงสภาพและลักษณะของผู้เรียนที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น (กรมวิชาการ. 2544 : 21) ส่วนหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 มุ่งเน้นพัฒนานักเรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกายความรู้ คุณธรรม จึงกำหนดจุดมุ่งหมายที่จะพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุขมีศักยภาพในการศึกษาต่อและประกอบอาชีพมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานว่าทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ. 2552 : 4-5)
ด้วยความสำคัญดังกล่าว หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ได้กำหนดให้ภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพและเพื่อนำไปใช้ในชีวิตจริง กระทรวงศึกษาธิการ (2551 : 37)
ดังนั้นเด็กไทยทุกคนควรเรียนรู้และใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้องทุกโอกาส ซึ่งการเรียนการสอนภาษาไทยเป็นทักษะที่ต้องฝึกฝนจนเกิดความชำนาญ ในการใช้ภาษาเพื่อการสื่อสาร การอ่านและการฟังเป็นทักษะของการรับรู้เรื่องราว ความรู้ ประสบการณ์ ส่วนการพูดและการเขียนเป็นทักษะของการแสดงออกด้วยการแสดงความคิดเห็น ความรู้และประสบการณ์ การเรียนภาษาไทยจึงต้องเรียนเพื่อการสื่อสาร ให้สามารถรับรู้ข้อมูลข่าวสารได้อย่างพินิจพิเคราะห์ สามารถนำความรู้ ความคิดมาเลือกใช้เรียบเรียงคำมาใช้ตามหลักภาษาได้ถูกต้องตรงตามความหมาย กาลเทศะและใช้ภาษา
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ (วิมลรัตน์ สุนทรโรจน์. 2549 : 80)
นโยบายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ปีงบประมาณ 2559 เพื่อให้การศึกษาขึ้นพื้นฐานของประเทศไทยมีคุณภาพมาตรฐานระดับสากล บนพื้นฐานของความเป็นไทย ให้นักเรียนได้รับการพัฒนาศักยภาพสูงสุดในตน มีความรู้และทักษะที่แข็งแกร่งและเหมาะสมเป็นพื้นฐานสำคัญในการเรียนรู้ระดับสูงขึ้นไป และดำรงชีวิตในอนาคต ในประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 1 พัฒนาคุณภาพผู้เรียนในระดับการการศึกษาขั้นพื้นฐานเป้าประสงค์ที่ 1 นักเรียนระดับก่อนประถมศึกษา และระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกคน มีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย และมีคุณภาพ และส่งเสริมสนับสนุนการนำการทดสอบ NT, O-NET การประเมินของ PISA และระบบการทดสอบกลางของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน มาใช้ในการพัฒนาการเรียนรู้ให้เกิดคุณภาพแก่ผู้เรียน อีกทั้งได้มีประกาศสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เรื่องแนวปฏิบัติในการยกระดับคุณภาพนักเรียนการศึกษาขั้นพื้นฐาน ลงวันที่ 18 เมษายน 2557 โดยมีวัตถุประสงค์ให้สถานศึกษามีการดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมในการยกระดับคุณภาพนักเรียน ให้สามารถคิดวิเคราะห์ แก้ปัญหาและเรียนรู้ได้ด้วยตนเองอย่างต่อเนื่อง มีทักษะที่จำเป็นในทศวรรษที่ 21 รวมทั้งมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้หลักเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 3 โดยให้ใช้ข้อสอบกลางที่พัฒนาโดยสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในการสอบปลายปี ร้อยละ 20 ของคะแนนสอบทั้งหมด ในชั้นประถมศึกษาปีที่ 2,4,5 และมัธยมศึกษาปีที่ 1,2 (ข้อ 8) มีรายละเอียดกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ใช้แบบทดสอบมาตรฐานกลางในระดับชั้นต่างๆ ดังนี้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4,5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย,คณิตศาสตร์,วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1,2 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์, สังคมศึกษาฯ และภาษาต่างประเทศ
แผนพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นสี่ปี 2560-2564 ของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น มีเป้าประสงค์ให้สถานศึกษามีการจัดการเรียนรู้ส่งเสริมให้ผู้เรียนให้มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นในทศวรรษที่ 21 (3Rx8C) และส่งเสริมให้ผู้เรียนมีคุณลักษณะและค่านิยมที่พึงประสงค์
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ มีการจัดโครงสร้างหลักสูตร ให้นักเรียนได้เรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-3 จำนวน 200 ชั่วโมงต่อปี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 จำนวน 160 ชั่วโมงต่อปี ในทุกปีการศึกษาที่ผ่านมา โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ ได้ดำเนินการจัดการเรียนการสอนที่สนองนโยบายทั้งของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานและนโยบายของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น โดยได้จัดให้มีการทดสอบ NT ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และสอบ O-NET ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และมีการทดสอบข้อสอบสมรรถนะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น ในปีการศึกษา 2560 ได้ให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 เข้าร่วมทดสอบตามนโยบายอ่านออกเขียนได้ (RT) และชั้นประถมศึกษาปีที่ 2,4,5 เข้าร่วมทดสอบข้อสอบมาตรฐานกลาง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมและสนองนโยบายการศึกษาแห่งชาติ นโยบายด้านการศึกษาของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน นโยบายของกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น นโยบายของเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ และนโยบายของโรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ และผู้วิจัยได้รับมอบหมายให้เป็นครูผู้สอนวิชาภาษาไทยในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เพื่อสร้างเสริมให้นักเรียนมีความรู้ความสามารถในการอ่านออกเขียนได้ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานของนักเรียนระดับช่วงชั้นที่ 1 ที่ต้องสามารถอ่านออกเขียนได้ สภาพการจัดการเรียนการสอนภาษาไทยที่ผ่านมายังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ดังจะเห็นได้จากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1-6 โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ ปีการศึกษา 2558-2559 พบว่า มีคะแนนเฉลี่ยร้อยละ 47.36 และ 59.44 ตามลำดับ และมีคะแนนเฉลี่ยการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) ต่ำ คือ ปี 2558 มีคะแนนเฉลี่ย 41.83 ปี 2559 มึคะแนนเฉลี่ย 39.84 ครูผู้สอนต้องมีบทบาทในการปรับปรุงวิธีการเรียนการสอนและมีหน้าที่ส่งเสริมการอ่านของนักเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนเป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมส่งเสริมการอ่านและพัฒนาทักษะการเขียนไปพร้อมกัน
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้วิจัยซึ่งเป็นครูผู้สอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เกิดแนวคิดว่าแบบฝึกทักษะการอ่านการเขียนจะเป็นสื่อการเรียนการสอนที่จะช่วยเติมเต็มและเสริมสร้างพัฒนาการในด้านการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้เป็นอย่างดี ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งเป็นระดับชั้นเรียนที่ผู้วิจัยเป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่เป็นครูผู้สอนโดยนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 นี้ เป็นกลุ่มนักเรียนที่น่าสนใจที่จะนำมาทำการวิจัย กล่าวคือ เป็นนักเรียนที่ต้องฝึกฝนการอ่าน และเขียนคำมาตราตัวสะกดให้ถูกต้อง และมีความสามารถในการอ่านได้คล่องเพื่อเป็นพื้นฐานการเรียนรู้วิชาอื่นๆ ผู้วิจัยจึงต้องการที่จะนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นโดยนำแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ของ Blooms Revised Taxonomy in 2001 มาสร้างแบบฝึกการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกด มี 6 ขั้นตอน มาใช้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ให้สูงขึ้นและเป็นแนวทางการพัฒนาการเรียนการสอนในสาระการเรียนรู้ภาษาไทยให้มีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์ต่อการเรียนรู้ของนักเรียนต่อไป
ความมุ่งหมายของการวิจัย
1. เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ 80/80
2. เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
3. เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด 4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
ขอบเขตของการวิจัย
1. กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่กำลังเรียนอยู่ในปีการศึกษา 2560 โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ อำเภอเมือง จังหวัดกาฬสินธุ์ จำนวน 28 คน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย
1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง มาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนมาตราตัวสะกด จำนวน 9 แผนการจัดการเรียนรู้
2. แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 9 เล่ม
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกดของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบชนิด 3 ตัวเลือก มี 30 ข้อ
4. แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
การสร้างและการหาคุณภาพเครื่องมือ
1. แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่องมาตราตัวสะกด ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยศึกษาหลักสูตร เอกสาร ตำราและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำมาจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ โดยใช้รูปแบบการจัดทำแผนการจัดเรียนรู้ตามแนวคิดโดยใช้สมองเป็นฐาน (Brain Based Learning : BBL) จำนวน 9 แผน
1.1 นำแผนการจัดการเรียนรู้ เรื่องมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ที่ผู้วิจัยเขียนเสร็จแล้วเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน เพื่อพิจารณาตรวจสอบ แล้วนำแผนการจัดการเรียนรู้มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะแล้วนำมาเสนอผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบอีกครั้ง
1.2 นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 9 แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ผู้เชี่ยวชาญประเมินค่าเฉลี่ยซึ่งผลการประเมินจากผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 4.59 ถึง 4.84 โดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.74 หมายความว่า แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง มาตราตัวสะกด โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด มีความเหมาะสมที่นำมาใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนอยู่ในระดับเหมาะสมมากที่สุด
1.3 นำแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกด จำนวน 9 แผนการจัดการเรียนรู้ ที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขในด้านกิจกรรม เนื้อหากระบวนการเรียนรู้ และการวัดและประเมินผลตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้พร้อมกับแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
2. การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอน โดยศึกษาหลักสูตร หลักการ แนวคิด และทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง และนำความรู้ที่ได้มาสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด จำนวน 9 เล่ม ผู้วิจัยได้โดยนำแนวคิดการสร้างแบบฝึก ตามแนวทฤษฏีการเรียนรู้ของ Blooms Revised Taxonomy 2001 มี 6 ขั้น จากง่ายไปยาก เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญ พิจารณาตรวจสอบ ให้ข้อเสนอแนะ แล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขในเรื่องจุดประสงค์การเรียนรู้ เนื้อหา การใช้ภาษา ให้มีความเหมาะสมมากขึ้น
2.1 การหาคุณภาพของแบบฝึกทักษะจากผู้เชี่ยวชาญ นำคะแนนจากแบบประเมินฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกดของผู้เชี่ยวชาญมาหาค่าเฉลี่ย สำหรับเกณฑ์การผ่านการประเมินจะต้องมีค่า IOC เท่ากับ 0.5 ขึ้นไป หมายความว่าใช้ได้จากการประเมินพบว่า มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 0.92
2.3 นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ไปทดลองใช้ควบคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้เรื่องมาตราตัวสะกด โดยแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 และนำไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/2 โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ จำนวน 31 คน ปีการศึกษา 2560 เพื่อหาแนวทางปรับปรุงแก้ไข ก่อนนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ไปใช้จริง โดยมีการทดลองตามลำดับขั้นตอนดังนี้
ครั้งที่ 1 การทดลองรายบุคคล ผู้วิจัยทดลองกับนักเรียน 3 คน โดยสุ่มนักเรียน ที่มีผลการเรียนดี 1 คน ผลการเรียนปานกลาง 1 คน และผลการเรียนอ่อน 1 คน (ผลการเรียนเรียนดูจากแบบกรอกคะแนนการประเมินผลประจำปี ปีการศึกษา 2559) การทดลองรายบุคคลนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อหาความยากง่ายของภาษาที่ใช้ ความเหมาะสมของคำ และเวลาที่ใช้ในแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้ง ผลการทดลองรายบุคคลพบว่า ต้องมีการปรับทางด้านภาษา ขนาดของคำ และขั้นตอนของกิจกรรมในแบบฝึกที่ต้องปรับให้นักเรียนสามารถทำกิจกรรมจากง่ายไปยากได้ชัดเจนมากขึ้น
ครั้งที่ 2 ทดลองแบบกลุ่มย่อย ผู้วิจัยได้นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ปรับปรุงครั้งที่ 1 ไปทดลองใช้กับนักเรียนแบบกลุ่มย่อยจำนวน 9 คน โดยสุ่มนักเรียนที่มีผลการเรียนดีจำนวน 3 คน ผลการเรียนปานกลางจำนวน 3 คน และผลการเรียนอ่อนจำนวน 3 คน มาเป็นกลุ่มทดลองย่อย (ผลการเรียนเรียนดูจากแบบกรอกคะแนนการประเมินผลประจำปี ปีการศึกษา 2559) โดยทดลองสอนเหมือนจริง เพื่อดูความเหมาะสมของเนื้อหา ระยะเวลาที่ใช้ในการสอนในแต่ละเล่มจากการทดลองแบบกลุ่มย่อยกับนักเรียนจำนวน 9 คนพบว่า นักเรียนสามารถอ่านเขียนแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้อย่างถูกต้องและทำแบบฝึกทันเวลาที่กำหนด จากนั้นผู้วิจัยนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้ง เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบพิจารณา และขอคำแนะนำอีกครั้งหนึ่ง
ครั้งที่ 3 ทดลองแบบกลุ่มใหญ่ ผู้วิจัยได้นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ปรับปรุงครั้งที่ 2 ไปทดลองใช้กับนักเรียนแบบกลุ่มใหญ่ จำนวน 30 คน โดยสุ่มนักเรียนที่มีผลการเรียนดีจำนวน 10 คน ผลการเรียนปานกลางจำนวน 10 คน และผลการเรียนอ่อนจำนวน 10 คน มาเป็นกลุ่มทดลองกลุ่มใหญ่ (ผลการเรียนเรียนดูจากแบบกรอกคะแนนการประเมินผลประจำปี ปีการศึกษา 2559) โดยทดลองสอนเหมือนจริง เพื่อดูความเหมาะสมของเนื้อหา ระยะเวลาที่ใช้ในการสอนในแต่ละเล่มจากการทดลองแบบกลุ่มใหญ่กับนักเรียนจำนวน 30 คนพบว่า นักเรียนสามารถอ่านเขียนแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้อย่างถูกต้องและทำแบบฝึกทันเวลาที่กำหนด จากนั้นผู้วิจัยนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทั้ง เสนอต่อผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจสอบพิจารณา และขอคำแนะนำอีกครั้งหนึ่ง
2.4 นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผ่านการทดลองใช้แล้วทั้งรายบุคคล แบบกลุ่มย่อย และแบบกลุ่มใหญ่มาปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญเป็นแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉบับสมบูรณ์แล้วนำไปใช้สอนจริงกับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนเทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ สังกัดสำนักการศึกษาเทศบาลเมืองกาฬสินธุ์ ที่กำลังเรียนอยู่ในปีการศึกษา 2560 จำนวน 28 คน ซึ่งเป็นนักเรียนกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้วิเคราะห์หาค่ามีค่าประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E1/E2) เท่ากับ 85.63/80.12
3. การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด ผู้วิจัยได้ดำเนินการสร้างตามขั้นตอน โดยศึกษาหลักสูตร วิเคราะห์เนื้อหา เวลาเรียน การวัดและประเมินผลการเรียน สร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เป็นแบบทดสอบปรนัยเลือกตอบชนิด 3 ตัวเลือกจำนวน 50 ข้อ 50 คะแนน และโดยสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้แล้ว
3.1 นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อตรวจพิจารณาความเหมาะสม ความถูกต้องของเนื้อหาและคำตอบ พร้อมกับการให้ข้อเสนอแนะจากนั้นผู้วิจัยนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มาปรับปรุงแก้ไข ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เสนอแนะไว้ จากนั้นนำนำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เสนอให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจพิจารณาอีกครั้ง
3.2 ผู้เชี่ยวชาญประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง มาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กับจุดประสงค์การเรียนรู้ (Index of Item Objective Congruence : IOC) มีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้ (สมนึก ภัททิยธนี. 2537 : 167)
ให้คะแนน +1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นวัดหาจุดประสงค์การเรียนรู้
ให้คะแนน 0 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้
ให้คะแนน 1 เมื่อแน่ใจว่าแบบทดสอบข้อนั้นวัดตามจุดประสงค์การเรียนรู้
ผลปรากฏว่า ผ่านเกณฑ์จำนวน 40 ข้อ โดยมีค่า IOC ตั้งแต่ 0.60 ขึ้นไป
3.3 คัดเลือกแบบทดสอบไว้จำนวน 30 ข้อ แล้วนำไปทดลองควบคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้แบบฝึกทักษะภาษาไทย กับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียน เทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ จำนวน 30 คน ที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย
3.4 นำผลการสอบของนักเรียนมาวิเคราะห์หาค่าความยาก และค่าอำนาจจำแนกรายข้อ ของข้อสอบที่ผ่านเกณฑ์ จะต้องมีค่าความยาก (P) ระหว่าง .20-.80 และค่าอำนาจจำแนก ระหว่าง .201.00 (บุญชม ศรีสะอาด. 2545 : 84 - 92) ผลปรากฏว่าผ่านเกณฑ์ทุกข้อ โดยมีค่าความยาก (P) ตั้งแต่ 0.40-0.77 และค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ 0.20-0.33
3.5 หาค่าความเชื่อมั่น่ของแบบทดสอบทั้งฉบับโดยใช้สูตร KR20 ของ Kuder Richardson (บุญชม ศรีสะอาด. 2553 : 103 - 104) ได้ค่าความเชื่อมั่น เท่ากับ 0.56
3.6 จัดพิมพ์แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องมาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพแล้วเป็นฉบับสมบูรณ์ นำไปใช้กับกลุ่มเป้าหมายต่อไป
4. การสร้างแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนโดยศึกษา เอกสาร ตำรา รายงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง นำมาสร้างแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จำนวน 16 ข้อ โดยผู้วิจัยได้ทำการปรับปรุงมาจากเกณฑ์การประเมินของบุญชม ศรีสะอาด (2545: 163) มีเกณฑ์การประเมินดังนี้
ค่าเฉลี่ย ระดับความพึงพอใจ
4.51 5.00 หมายถึง มากที่สุด
3.51 4.50 หมายถึง มาก
2.51 3.50 หมายถึง ปานกลาง
1.51 2.50 หมายถึง น้อย
1.00 1.50 หมายถึง น้อยที่สุด
นำแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉบับร่างเสนอต่อผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่าน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม เพื่อตรวจพิจารณาให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงแก้ไข ผู้วิจัยจึงได้นำได้นำข้อเสนอแนะมาปรับปรุงคำถามในบางข้อในแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนให้มีความสมบูรณ์มากขึ้นตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ
4.1 นำแบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่แก้ไขปรับปรุงเสร็จแล้วเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 ท่าน ตรวจพิจารณาอีกครั้ง
4.2 จัดพิมพ์แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ฉบับสมบูรณ์เพื่อนำไปใช้เก็บรวบรวมข้อมูลกับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายในการศึกษาครั้งนี้ ผลปรากฏว่า ความพึงพอใจโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด คือ มีค่าเฉลี่ย 4.64
การเก็บรวบรวมข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการเก็บข้อมูล ดังนี้
1. แบบแผนการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ ผู้วิจัยได้ใช้แบบแผนการวิจัยแบบ One Group Pretest Post-test Design (ล้วน สายยศ และอังคณา สายยศ. 2538 : 248-249)
2. ขั้นตอนในการดำเนินการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนดังนี้
2.1. ทดสอบก่อนเรียน (Pretest) กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย ก่อนทำการวิจัยผู้วิจัยด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง มาตราตัวสะกด ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 30 ข้อ
2.2. ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนด้วยตนเอง ตามแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 9 แผน ใช้เวลา 54 ชั่วโมง ไม่รวมเวลาทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน
2.3. ทดสอบหลังเรียน (Post-test) เมื่อสิ้นสุดการสอนโดยการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ชุดเดียวกับการทดสอบก่อนเรียน
2.4. นำผลการตรวจให้คะแนนไปวิเคราะห์ข้อมูล
2.5. วัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
การวิเคราะห์ข้อมูล
ผู้วิจัยได้ดำเนินการวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสำเร็จรูปคอมพิวเตอร์ ดังนี้
1. ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 โดยการหาประสิทธิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์
2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยการหาค่าดัชนีประสิทธิผล (E.I)
3. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
4. ผลการวิเคราะห์ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยหาค่าเฉลี่ย
ผลการวิจัย
1. แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 85.63/80.10 ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80
2. ดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าเท่ากับ 0.6542 แสดงว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีความรู้เพิ่มขึ้นจริงคิดเป็นร้อยละ 65.42
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
อภิปรายผล
1. ผลการหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 85.63/80.10 ซึ่งเป็นค่าประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้คือ 80/80 ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นได้สร้างขึ้นโดยผ่านขั้นตอนการสร้างที่มีประสิทธิภาพ มีระบบและได้ผ่านการตรวจแก้ไขข้อบกพร่อง รวมทั้งได้รับข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญและผู้มีประสบการณ์ในการสร้างแบบฝึกทักษะก่อนที่จะนำไปใช้กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมายจริง ในการสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ต้องอาศัยลักษณะและรูปแบบที่หลากหลายจัดเรียงเนื้อหาเป็นไปตามลำดับความยากง่าย สอดคล้องกับซึ่งการทำแบบฝึกทักษะช่วยให้นักเรียนเข้าใจเนื้อหาได้ดีขึ้น จดจำความรู้ได้นานและคงทน รวมทั้งพัฒนาความรู้ทักษะและเจตคติด้านต่าง ๆ ของนักเรียนให้ดียิ่งขึ้น ผู้รายงานได้สร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ตามแนวทางการสร้างแบบฝึกทักษะที่จัดไว้อย่างเป็นระบบ โดยเริ่มศึกษาตั้งแต่ปัญหาและความต้องการ วิเคราะห์เนื้อหาและทักษะที่เป็นปัญหาออกเป็นเนื้อหาย่อยแล้วดำเนินการสร้างตามหลักการสร้างแบบฝึกทักษะที่ดี ของสุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2550 : 60-61) กล่าวว่าแบบฝึกทักษะที่ดีควรคำนึงถึงหลักจิตวิทยา การเรียนรู้ ผู้เรียนได้ศึกษาด้วยตนเอง ความครอบคลุม ความสอดคล้องกับเนื้อหา รูปแบบน่าสนใจ และคำสั่งชัดเจน และ ฐานิยา อมรพลัง (2548 : 78) ได้เสนอลักษณะที่ดีของแบบฝึก คือ แบบฝึกที่เรียงลำดับจากง่ายไปหายาก มีรูปภาพประกอบ มีรูปแบบน่าสนใจ หลากหลายรูปแบบ โดยอาศัยหลักจิตวิทยาในการจัดกิจกรรมหรือจัดแบบฝึกให้สนุก ใช้ภาษาเหมาะสมกับวัย มีการจัดกิจกรรมการฝึกที่เร้าความสนใจ และแบบฝึกนั้นควรทันสมัยอยู่เสมอ แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้รายงานสร้างขึ้น เป็นแบบฝึกทักษะที่ใช้ร่วมกับแผนการจัดการเรียนรู้ที่ได้นำเอากิจกรรมต่าง ๆ มาจัดให้สอดคล้องกันในแต่ละแผน ซึ่งประกอบด้วยเกม ภาพ เพื่อถ่ายทอดเนื้อหาสาระในลักษณะที่จะส่งเสริมสนับสนุนซึ่งกันและกัน โดยถือว่าสื่อแต่ละอย่างให้คุณค่าแตกต่างกัน จากเหตุผลดังกล่าวแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 จึงเป็นแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ พนมวัน วรดลย์ (2542) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 พบว่า แบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 87.74/82.11 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และตรงกับงานวิจัยของนิลวรรณ อัคติ (2548) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่องการผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนภูแล่นช้างคเชนทร์พิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์เขต 3 เครื่องมือที่ใช้คือแบบทดสอบ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะและแบบสอบถามความพึงพอใจ พบว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 87.85/80.91 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก เช่นเดียวกับสมใจ นาคศรีสังข์ (2549) ได้ศึกษาค้นคว้าเรื่อง การสร้างแบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนสะกดคำจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนตลาดเกาะแรต สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 2 ในปีการศึกษา 2549 จำนวน 21 คน พบว่า ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 83.98/84.46 ผลการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อแบบฝึกทักษะโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 หลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสูงขึ้นกว่าก่อนเรียน หมายความว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่เรียนโดยการใช้โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีการพัฒนาในการเรียนรู้เรื่อง มาตราตัวสะกดสูงขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจ แบบฝึกทักษะมาตราตัวสะกด มีเนื้อหาน่าสนใจ เข้าใจง่าย มีแบบฝึกจากง่ายไปยาก ตามแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ของบลูม 2001 มี 6 ขั้นตอน นอกจากนี้แบบฝึกทักษะการอ่านและเขียนคำมาตราตัวสะกดได้ผ่านการสร้างที่มีประสิทธิภาพ ผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับ พนมวัน วรดลย์ (2556) ได้ศึกษาการสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 พบว่า แบบฝึกทัษะการเขียนสะกดคำมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 87.74/82.11 และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้นมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และตรงกับงานวิจัยของ นิลวรรณ อัคติ (2555) ได้ศึกษาการพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การผันวรรณยุกต์ โดยใช้แบบฝึกทักษะชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนชุมชนภูแล่นช้างคเชนทร์พิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากาฬสินธุ์ เขต 3 เครื่องมือที่ใช้คือแบบทดสอบ แผนการจัดการเรียนรู้ แบบฝึกทักษะและแบบสอบถามความพึงพอใจ พบว่า แบบฝึกทักษะมีประสิทธิภาพ 87.85/80.92 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80 ที่ตั้งไว้ นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะอยู่ในระดับมาก เช่นเดียวกับ ลุลา ศรีกุตา (2553) ได้ศึกษาการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะสาระ การเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.43/86.47 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80 ผลที่เกิดกับนักเรียนหลังการพัฒนาทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2/1 พบว่านักเรียนมีทักษะการอ่านและเขียนดีขึ้น ซึ่งส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้านทักษะการอ่านและเขียนคำพื้นฐานสูงขึ้น มีค่าเฉลี่ยร้อยละ 86.47
3. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด ทั้งนี้อาจเนื่องจากแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 สามารถตอบสนองต่อความต้องการของนักเรียนได้เป็นรายบุคคล นักเรียนแต่ละคนสามารถที่จะเรียนตามศักยภาพของตนเองได้ เปิดโอกาสให้นักเรียนมีอิสระในการเรียนรู้และทำให้นักเรียนมีความเข้าใจชัดเจนขึ้น และได้เรียนรู้จากการปฏิบัติจริง จึงทำให้นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนอยู่ในระดับมากที่สุด สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 หมวด 4 มาตรา 22 ที่กำหนดว่าการศึกษาจะต้องยึดหลักว่านักเรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่านักเรียนมีความสำคัญสุด นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนเป็นสำคัญ ครูผู้สอนจะต้องจัดให้มีความสอดคล้องกับนักเรียนตามความแตกต่างระหว่างบุคคล ความสามารถทางสติปัญญา ให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการปฏิบัติจริง ได้พัฒนากระบวนการคิด วิเคราะห์ ศึกษาค้นคว้าและแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ตามความถนัด ความสนใจ และมีการวัดผล ประเมินผล ตามสภาพจริง (กระทรวงศึกษาธิการ 2544 : 5) สอดคล้องกับงานวิจัยของ พีรพงษ์ ใหญ่สิมา (2559) ได้ศึกษาการพัฒนาการใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนสะกดคำ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่าน และการเขียนสะกดคำ ชุด หรรษามาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
จากผลการศึกษาในครั้งนี้ แสดงให้เห็นว่าแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นสามารถช่วยให้นักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีความสามารถในการเรียนสูงขึ้น ทั้งนี้อาจเนื่องจากการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกทักษะการอ่านและการเขียนได้ดีขึ้น แบบฝึกทักษะสามารถช่วยในเรื่องความแตกต่างระหว่างบุคคล ทำให้นักเรียนประสบผลสำเร็จทางจิตใจและเสริมทักษะการอ่าน และการเขียนของนักเรียนให้คงทน (ประทีป แสงเปี่ยมสุข. 2538 :53 ) นอกจากนี้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ยังช่วยให้นักเรียนได้เรียนรู้นิทานมาตราตัวสะกด คำศัพท์พื้นฐานของชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ได้กว้างขวาง เกิดความคิดสร้างสรรค์ และนักเรียนยังสามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในการอ่านและการเขียนเป็นรายบุคคลและเป็นกลุ่มได้ดี และนำข้อคิดจากเรื่องที่อ่านไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขต่อไป
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1.1 จากผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนด และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะในระดับมากที่สุด ดังนั้นสถานศึกษาควรสนับสนุนให้ครูได้นำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้นไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนมีนิสัยรักการอ่านและพัฒนาการเขียนของนักเรียนได้ หรือประยุกต์ใช้ในชั้นเรียนหรือการเรียนการสอนวิชาภาษาไทยในเนื้อหาอื่นได้
1.2 ผู้บริหาร ครูผู้สอนและผู้เกี่ยวข้องควรสนับสนุนให้มีการนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ที่ผ่านการประเมินหาประสิทธิภาพเรียบร้อยแล้วไปใช้กับนักเรียนระดับชั้นเดียวกันในโรงเรียนสังกัดเทศบาล เพื่อเป็นการเผยแพร่ต่อไป
1.3 การนำแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ภาษาไทยไปใช้ ครูผู้สอนควรศึกษาขั้นตอนในการใช้ให้เข้าใจ มีการวางแผน กำหนดกิจกรรมการฝึกไว้ให้ชัดเจน และทำการฝึกอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ จึงจะทำให้การสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะนั้นเกิดประโยชน์อย่างแท้จริง
1.4 ครูควรจัดการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่หลากหลาย เพราะจะทำให้นักเรียนเกิดความสนใจ ความสนุกสนาน ไม่เบื่อหน่ายต่อการร่วมกิจกรรม ซึ่งจะส่งผลให้การเรียนของนักเรียนดีขึ้น
2. ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรพัฒนาแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ในเนื้อหาอื่นและระดับชั้นอื่นๆ ต่อไป
2.2 ควรมีการสอนเปรียบเทียบรูปแบบการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ประกอบแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กับวิธีการสอนแบบอื่นๆ
2.3 ควรมีการศึกษาเจตคติ ความคงทนในการเรียนรู้ที่นักเรียนมีต่อแบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2
2.4 ควรมีการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนในการเรียนรู้ระหว่างการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 กับการเรียนโดยใช้วิธีการเรียนรู้แบบอื่นๆ
เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551. กรุงเทพฯ :
โรงพิมพ์ชุมนุมการเกษตรแห่งประเทศไทยจำกัด, 2551.
กำชัย ทองหล่อ. หลักภาษาไทย.พิมพ์ครั้งที่ 11. กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ์, 2540.
ฉวีลักษณ์ บุญกาญจน. จิตวิทยาการอ่าน. กรุงเทพฯ : บริษัท 21 เซ็นจูรี่จำกัด, 2547.
ฉวีวรรณ คูหาภินันท์. การอ่านและการส่งเสริมการอ่าน. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : โสภณการพิมพ์,
2545.
ถวัลย์ มาศจรัส และคณะ. แบบฝึกหัด แบบฝึกทักษะเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ผู้เรียนและการจัดทำ
ผลงานวิชาการของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
ธารอักษร, 2550.
เทศบาล ๔ เฉลิมพระเกียรติ,โรงเรียน. หลักสูตรสถานศึกษา (ฉบับปรับปรุง พ.ศ.2559). 2552.
นภดล จันทร์เพ็ญ. การใช้ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : แสงศิลป์การพิมพ์, 2535.
บุญชม ศรีสะอาด. การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2545.
.................... การวิจัยเบื้องต้น. กรุงเทพฯ : สุวีริยาสาส์น, 2543.
ประเทิน มหาขัน. การสอนอ่านเบื้องต้น. พระนครศรีอยุธยา : โอเดียนสโตร์, 2540.
ประวีณา เอ็นดู. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ภาษาไทย เรื่อง การอ่านและการเขียนสะกดคำ
โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2547.
เปลื้อง ณ นคร. ศิลปะแห่งการอ่าน. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ : เยลโล่การพิมพ์, 2544.
เผชิญ กิจระการและสมนึก ภัททิยธนี. ดัชนีประสิทธิผล (Effectiveness Index : E.I.),
การวัดผลการศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม.8 : 30-36 ; กรกฎาคม, 2545.
.................... การวิเคราะห์ประสิทธิภาพสื่อและเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา (E1/E2),
การวัดผลการศึกษามหาวิทยาลัยมหาสารคาม.7 : 4462 ; กรกฎาคม, 2544.
พนมวัน วรดลย์. การสร้างแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 2.
ปริญญานิพนธ์ กศ.ม. สงขลา : มหาวิทยาลัยทักษิณ, 2542.
พินิจ จันทร์ซ้าย. การสร้างหนังสือและแบบฝึกทักษะประกอบการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย แบบมุ่งประสบการณ์ภาษา ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 เรื่อง บุญผะเหวดร้อยเอ็ด.
วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2546.
พิมพันธ์ เตชะคุปต์. การเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง. กรุงเทพฯ : เดอะมาสเตอร์กรุ๊ป
แบเนจ เม็นท์. 2548.
พัชรินทร์ จันทร์หัวโทน. การศึกษาผลการสอนตามหลักการสอนแบบร่วมมือกันเรียนรู้ในวิชา
วิทยาศาสตร์เรื่องน้ำเพื่อชีวิต ชั้นมัธยมศึกษาปีที่1. วิทยานิพนธ์ ศศ.ม. ขอนแก่น :
มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2544.
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. ประมวลสาระชุดวิชาทฤษฏีและแนวปฏิบัติในการบริหาร
การศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2540.
มะลิ อาจวิชัย. การพัฒนาแบบฝึกทักษะภาษาไทย เรื่อง การพัฒนาสะกดคำที่ไม่ตรงตามมาตรา
ตัวสะกดแม่กน แม่กด และแม่กบ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์
กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2540.
ยุพดี ทรงทอง. ภาษาไทย 1. กรุงเทพฯ : ศูนย์ตำราอาจารย์นิมิตจิวะสันติการ, 2540.
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542. กรุงเทพฯ : ศิริวัฒนาอินเตอร์-
พรินท์, 2546.
รัญจวน อินทรกำแหง. วรรณกรรมสำหรับเด็กและวัยรุ่น. กรุงเทพฯ : ดวงกมล, 2550.
รุจาภา ประถมวงษ์. การเปรียบเทียบความสามารถในการคิดวิเคราะห์ทักษะกระบวนการ
ทางวิทยาศาสตร์ขั้นพื้นฐานและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เรื่องสารในชีวิตประจำวันของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียน
ด้วยการจัดการเรียนรู้แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5 ขั้น (5E) กับการจัดการเรียนรู้
แบบวัฏจักรการเรียนรู้ 7 ขั้น (7E).วิทยานิพนธ์ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2551.
เรวดี อาษานาม. พฤติกรรมการสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. ภาควิชาหลักสูตรและการสอน.
มหาสารคาม : สถาบันราชภัฏมหาสารคาม, 2537.
ลินจง จันทรวราทิตย์. เอกสารประกอบการสอนรายวิชาการอ่านเพื่อชีวิต. นครปฐม :
คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์สถาบันราชภัฏนครปฐม, 2542.
วรรณภา ไชยวรรณ. การพัฒนาแผนการอ่านภาษาไทย เรื่อง อักษรควบและอักษรนำ
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2549.
วรรณี โสมประยูร. การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ :
ไทยวัฒนาพานิช, 2539.
.................... การสอนภาษาไทยระดับประถมศึกษา. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช,
2544.
วิจิตรา แสงพลสิทธิ์. การใช้ภาษาไทย (ไทย 101). กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์, ม.ป.ป.
วิเศษ แปวไธสง. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะประกอบการเรียน กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ภาษาไทยแบบมุ่งประสบการณ์ภาษา เรื่อง ลูกอ๊อดหาแม่ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2.
การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2547.
สนิท สันโยภาส. การสอนภาษาไทยแก่เด็กประถมศึกษา. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ, 2532.
.................... ภาษาไทยเพื่อการสื่อสารและสืบค้น. กรุงเทพฯ : เซ็นจูรี่, 2545.
สมใจ นาคศรีสังข์. การสร้างแบบฝึกการอ่านและเขียนสะกดคำจากแหล่งเรียนรู้ในท้องถิ่น
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. การศึกษาค้นคว้าอิสระ กศ.ม. มหาสารคาม : มหาวิทยาลัย
มหาสารคาม, 2549.
สมนึก ภัททิยธนี และคณะ. พื้นฐานการวิจัยทางการศึกษา.กาฬสินธุ์: ประสานการพิมพ์,
2548.
.................... การวัดผลการศึกษา.พิมพ์ครั้งที่ 4. กาฬสินธุ์ : ประสานการพิมพ์, 2546.
สัมภาษณ์ ฉัตรบุปผา. การศึกษาเปรียบเทียบองค์ประกอบที่มีอิทธิพลต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ของนักเรียนที่มีความสามารถทางการเรียนสูงกับนักเรียนที่มีความสามารถ
ทางการเรียนต่ำ ระดับประถมศึกษาปีที่ 6 ในจังหวัดสระบุรี. วิทยานิพนธ์ปริญญา
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, 2539.
สายใจ ทองเนียม. ภาษาไทย 1 ฉบับวรรณกรรมสมบูรณ์. กรุงเทพฯ : เอมพันธ์, 2542.
สำนักการศึกษา เทศบาลเมืองกาฬสินธุ์. หลักสูตรสถานศึกษา โรงเรียนเทศบาล ๔ วัดใต้โพธิ์ค้ำ ตาม
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ระดับประถมศึกษา.
กาฬสินธุ์ : 2551.
สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. สรุปผลการประชุมสัมมนาประสานแผนและแลกเปลี่ยน
องค์ความรู้การดำเนินงานพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษา. กรุงเทพฯ : สำนักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2550.
สุนันทา มั่นเศรษฐวิทย์. หลักและวิธีสอนอ่านภาษาไทย. พิมพ์ครั้งที่ 7. กรุงเทพฯ :
ไทยวัฒนาพานิช, 2545.
สุวิทย์ มูลคำ และ สุนันทา สุนทรประเสริฐ. ผลงานทางวิชาการสู่...การเลื่อนวิทยฐานะ. กรุงเทพฯ :
อี เค บุคส์, 2550.
อกนิษฐ์ กรไกร. การพัฒนาแผนการจัดการเรียนรู้ กาพย์ยานี 11 ด้วยแบบฝึกทักษะ ชั้นระถมศึกษา
ปีที่ 5 ที่เรียนด้วยกลุ่มร่วมมือแบบ Co-op Coop และแบบเดี่ยว. วิทยานิพนธ์ กศ.ม.
มหาสารคาม : มหาวิทยาลัยมหาสารคาม, 2549.
Bloom, B.S. Human Characteristic and School Learning. New York :Mcgraw - Hill,
1982.
Wolman, Benjamin B. Dictionary of Behavioral Science. New York : Van Nostrand
Reinhold, 1973.