บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 2) เพื่อศึกษาองค์ความรู้ที่เกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือในการจัดการเรียนการสอน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 3) เพื่อการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านการเขียนวรรณคดีไทยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 4) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านการเขียนวรรณคดีไทยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 และ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA เพื่อส่งเสริมความสามารถด้านการอ่านการเขียนวรรณคดีไทยที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการรายงานครั้งนี้ คือ นักเรียนห้องเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนเทศบาล ๔ (เพาะชำ) สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครนครราชสีมา ปีการศึกษา 2561 จำนวน 32 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) ระยะเวลาในการทดลอง 16 ชั่วโมง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบวิเคราะห์รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย พบว่า ครูผู้สอนยังคงเน้นการบรรยายเนื้อหาเป็นหลัก ไม่มีรูปแบบการสอน เทคนิควิธีการสอนและกระบวนการจัดการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ ครูผู้สอนใช้สื่อและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนน้อย สื่อ อุปกรณ์ไม่เพียงพอ เก่าและขาดคุณภาพครูขาดการบูรณาการการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น นักเรียนมีความหลากหลายและแตกต่างกัน แหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียนไม่เพียงพอ นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ขาดเรียนบ่อย ขาดความสามารถด้านการอ่านคิดวิเคราะห์ การเขียนสื่อความ ไม่กระตือรือร้น ไม่สนใจใฝ่เรียนรู้
2. องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนแบบร่วมมือพบว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคนสนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนบรรลุตามวัตถุประสงค์ สมาชิกแต่ละคนในทีมจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันใน
การเรียนรู้ และจะได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม
3. ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA
3.1 ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA พบว่า มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือ รูปแบบวิธีสอนที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ให้มากที่สุด การเรียนตามรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน ได้แก่ ขั้นนำเสนอความรู้กิจกรรมเบื้องต้น ขั้นจัดกลุ่มและเตรียมทีม ขั้นตรวจสอบกลุ่มและทดสอบรายบุคคล ขั้นร่วมอ่านร่วมเขียน ขั้นตรวจสอบรอบสุดท้ายเพื่อพัฒนารายบุคคล และขั้นสรุปคะแนนและมอบรางวัล มีการจัดปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้อย่างเพียงพอ
3.2 ผลการตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA พบว่ามีค่าประสิทธิภาพ
(E1/ E2) เท่ากับ 87.19/88.93 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้
4. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA พบว่า ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
5. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้เทคนิค IGCRFA พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.80 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.33