๑. หลักการและเหตุผล
การอ่านเป็นทักษะพื้นฐานของภาษาที่สำคัญของนักเรียนทุกระดับชั้น เพราะการอ่านถือว่าเป็นการวางรากฐานเพื่อการเรียนภาษาไทยและวิชาอื่นๆ การอ่านเป็นกระบวนการซึ่งผู้อ่านสร้างความหมายหรือพัฒนาตีความระหว่างอ่าน ผู้อ่านจะต้องรู้หัวข้อเรื่อง รู้จุดประสงค์ของการอ่าน มีความรู้ทางภาษา โดยใช้ประสบการณ์ทำความเข้าใจเรื่องที่อ่านและใช้บริบทหรือคำแวดล้อมช่วยในการตีความหมายของคำ เพื่อทำความเข้าใจเรื่องที่อ่าน
จากการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในโรงเรียนอนุบาลพัทลุง ผู้วิจัยพบว่า ผลการสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระดับโรงเรียน ปีการศึกษา ๒๕๖๐ ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ สาระการอ่านเพื่อตีความหรือจับใจความ ยังมีคะแนนเฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ จากการตรวจสอบพบว่านักเรียนไม่เข้าใจความหมายของคำ ไม่สามารถจับใจความสำคัญของเรื่องที่อ่านได้ ไม่สามารถตีความและขยายความได้
จากเหตุผลดังกล่าวข้างต้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะแก้ปัญหาการอ่านจับใจความของนักเรียนด้วยวิธีการสอนแบบ OK5R ซึ่งเป็นการสอนที่ Walter Pauk กล่าวว่า เป็นการสอนที่ช่วยให้นักเรียนเข้าใจแนวคิดของเรื่องที่อ่านได้รวดเร็ว จดจำดี และสามารถทบทวนเรื่องที่อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๒. วัตถุประสงค์
๒.๑ เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการอ่านจับใจความวรรณคดีของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนอนุบาลพัทลุง จังหวัดพัทลุง โดยใช้วิธีการสอนแบบ OK5R
๓. เป้าหมาย
๓.๑ เป้าหมายเชิงปริมาณ
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๙๐ คน ได้รับการพัฒนาทักษะการอ่านจับใจความ
๓.๒ เป้าหมายเชิงคุณภาพ
- นักเรียนร้อยละ ๘๐ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ ผ่านเกณฑ์ การประเมิน
๔. ขอบเขตของการวิจัย
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑ ภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๖๑ ของโรงเรียนอนุบาลพัทลุง อำเภอเมือง จังหวัดพัทลุง จำนวน ๔๕ คน โดยการวิจัยในครั้งนี้ได้ดำเนินการศึกษากับกลุ่มประชากร
ตัวแปรที่ใช้ในการวิจัย
๑.ตัวแปรต้น ได้แก่วิธีการสอนแบบ OK5R
๒.ตัวแปรตาม ได้แก่
๒.๑ ความเข้าใจในการอ่านภาษาไทย แบ่งได้ ๓ ระดับ ได้แก่
๒.๑.๑ ระดับความเข้าใจตามตัวอักษร
๒.๑.๒ ระดับตีความ
๒.๑.๓ ระดับขยายความ
๒.๒ ความก้าวหน้าความเข้าใจในการอ่านภาษาไทยของผู้เรียนตาละคนต่อวิธีการสอนแบบ OK5R
๕. ขั้นตอนในการสอนแบบ OK5R
วิธีการสอนแบบ OK5R หมายถึงการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนการอ่านเพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจแนวคิดของเรื่องที่อ่านได้รวดเร็วขึ้น จดจำได้ดีขึ้นและสามารถทบทวนเรื่องที่อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพตามแนวคิดของ Walter Pauk ซึ่งประกอบด้วย ๗ ขั้นตอน คือ
๑. อ่านอย่างคร่าวๆ(Overview) หมายถึงให้นักเรียนอ่านบทเรียนทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ เพื่อดูภาพรวมของบทอ่านนั้นๆว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับเรื่องใด เพื่อให้ผู้อ่านมีความกระตือรือร้นที่จะศึกษาผู้อ่านนั้น ให้เข้าใจยิ่งขึ้น
๒. หาแนวความคิดหลัก(Key Idea) หมายถึงให้นักเรียนทำความเข้าใจเกี่ยวกับใจความสำคัญของเรื่อง (Main Idea) ส่วนขยายใจความสำคัญ (Suppqrting Material)และคำที่เป็นส่วนสัมพันธ์ความ(Transition)
๓. อ่านแต่ละอนุเฉท (Read) หมายถึงให้นักเรียนทำความเข้าใจแต่ละอนุเฉทจนจบบทอ่าน เพื่อหาใจความสำคัญ ส่วนขยายใจความสำคัญและคำที่เป็นส่วนสัมพันธ์ความให้ต่อเนื่องกัน
๔. จดบันทึกใจความสำคัญของอนุเฉท(Record) หมายถึงให้นักเรียนขีดเส้นใต้คำหรือวลีที่สำคัญและส่วนขยายใจความสำคัญในแต่ละอนุเฉทของบทอ่านแล้วบันทึกสรุปใจความสำคัญหรือแนวคิดหลัก
๕. พูดเพื่อระลึกถึงสิ่งที่อ่าน(Recite) หมายถึงให้นักเรียนเล่าถึงสิ่งที่นักเรียนได้บันทึกสรุปใจความสำคัญ
๖. ทบทวน(Review) หมายถึงให้นักเรียนทบทวนทันที โดยดูจากที่จดบันทึกไว้เพื่อให้เข้าใจเรื่องทั้งหมดอีกครั้งหนึ่ง
๗. สะท้อนความคิด(Reflect) หมายถึงให้นักเรียนเปรียบเทียบประเด็นที่นักเรียนมีความเห็นสอดคล้องหรือเห็นไม่สอดคล้อง โดยขยายความที่นักเรียนอ่านให้กว้างขึ้นด้วยการเชื่อมโยงความคิดจากบทอ่านเข้ากับความรู้ความเข้าใจเดิมของนักเรียน
๖. ประโยชน์ที่ได้รับจากการวิจัย
๑. เพื่อพัฒนาความเข้าใจในการอ่านภาษาไทยของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔/๑
๒. เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูภาษาไทยในการแก้ปัญหาการอ่านให้แก่นักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษา ปีที่ ๔ และชั้นอื่นๆต่อไป
๓. เพื่อเป็นแนวทางสำหรับครูที่จะนำไปประยุกต์ใช้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นต่อไป
เปรียบเทียบคะแนนผลสัมฤทธิ์ ก่อนเรียน-หลังเรียน
การอ่านจับใจความสำคัญนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที 4/๑ โรงเรียนอนุบาลพัทลุง
โดยใช้วิธีการสอนแบบ OK5R
เลขที่ ชื่อ-สกุล คะแนนก่อนสอบ (40) คะแนนหลังสอบ(40) ผลต่าง
1 เด็กชายญาณพัฒน์ บุญโยม 20 26 +6
2 เด็กชายวรพันธ์ นวลศรีทอง 22 27 +5
3 เด็กชายสรวิชญ์ จันทร์ชู 17 22 +5
4 เด็กชายคุณากร เกลี้ยงเกื้อ 15 26 +11
5 เด็กชายไตรภพ หนูทอง 27 29 +2
6 เด็กชายชนาธิป คชศักดิ์ 11 15 +4
7 เด็กชายณัฎฐ์ณภัทร คันททาโร 16 20 +4
8 เด็กชายธนกร รอดเนียม 14 14 0
9 เด็กชายพลพิพัฒ จันทรเทพ 24 25 +1
10 เด็กชายสรวิชญ์ เอียดคง 11 13 +2
11 เด็กชายชยพล ทิพย์สง 16 28 +2
12 เด็กชายชยุต สว่างรัตน์ 14 20 +6
13 เด็กชายวิชญนัตถ์ สุขแก้ว 10 12 +2
14 เด็กชายรณกร สุวรรณคีรี 14 18 +4
15 เด็กชายณัฐชพน จุลพูล 24 27 +3
16 เด็กชายศุภวิชญ์ บุญจันทร์ 18 25 +7
17 เด็กชายศิวกร ชูสุดรักษ์ 22 29 +7
18 เด็กชายภูมิภัทร สังข์จีน 26 28 +2
19 เด็กชายปุญพสุ เขมะวนิช 27 29 +2
20 เด็กชายนนทพันธ์ นนตรี 13 17 +4
21 เด็กชายดนตรี กลับแป้น 17 19 +2
22 เด็กหญิงปาทิตตา แก้วสองเมือง 18 22 +4
23 เด็กหญิงจารุนันท์ หนูจินดา 16 28 +12
24 เด็กหญิงณีรนุช ทองด้วง 19 26 +7
25 เด็กหญิงธมลวรรณ พงษ์สุด 11 25 +13
26 เด็กหญิงนิชุนาท สงรอด 19 22 +3
27 เด็กหญิงเพชรกมล ชิงแก้ว 16 25 +9
28 เด็กหญิงกชกร เมืองพูล 12 25 +13
29 เด็กหญิงธันยกร ยินดี 26 31 +5
30 เด็กหญิงอัฐภิญญา เอียดน้อย 11 12 +1
31 เด็กหญิงทิชากร คำนวนศิลป์ 18 18 0
32 เด็กหญิงยศวดี หอยสกุล 18 24 +6
33 เด็กหญิงเอมปวีร์ วัฒนพานิชดำรงค์ 19 26 +7
34 เด็กหญิงมนัสนันท์ รุ่งเรือง 18 26 +8
35 เด็กหญิงจิรธิดา เหลือนุ่นขาบ 21 23 +2
36 เด็กหญิงญาณิศา สินธุ์สกุล 27 32 +5
เลขที่ ชื่อ-สกุล คะแนนก่อนสอบ (40) คะแนนหลังสอบ(40) ผลต่าง
37 เด็กหญิงกัญญาวีร์ หวานช่วย 28 31 +3
38 เด็กหญิงณัฐธยาน์ จันทร์นวล 21 24 +3
39 เด็กหญิงปาณิสรา จันทร์แดง 22 25 +3
40 เด็กหญิงธันยวรภร ปรางค์น้อย 13 16 +3
41 เด็กหญิงกาญจน์ชนิตา คงเอียด 18 19 +1
42 เด็กหญิงจิราพัชร ทองขาว 18 19 +1
43 เด็กหญิงชยมน สมสุข 15 21 +6
44 เด็กหญิงรินลณี เหรียญไกร 30 30 0
45 เด็กหญิงกรกมล ปรงแก้ว 20 21 +1
รวม 832 1,040 208
เฉลี่ยร้อยละ 46.22 57.77 11.55
ร้อยละ 46.22 57.77 11.55
สรุป คะแนนผลสัมฤทธิ์หลังสอนเพิ่มขึ้น คิดเป็นร้อยละ 11.55
ลงชื่อ............................................ผู้สอน
(นางวิชชุมาศ ปุรินทราภิบาล )