ผลการการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านบูเกะกุงครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ 1. เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้
แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการพัฒนาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งกำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2561 ของโรงเรียนบ้านบูเกะกุง
อำเภอมายอ จังหวัดปัตตานี สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาปัตตานี เขต 2 ได้มาจากแบบเจาะจง (Purposive Sampling) จำนวน 19 คน เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย 1. แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 4 เล่ม
2 แผนการจัดการเรียนรู้ประกอบแบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งแผนการจัดการเรียนรู้สร้างขึ้นโดยใช้หลักการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยใช้เวลาในการจัดการเรียนรู้ แผนการเรียนรู้ละ 1 ชั่วโมง 3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางด้านการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 1 ฉบับ ข้อสอบทั้งหมดมีทั้งหมด 30 ข้อ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ 1. คำนวณค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้สูตร (ชิดชนก เชิงเชาว์, 2553) 2. เปรียบเทียบค่าเฉลี่ยของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ภายในกลุ่มทดลองก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา โดยใช้สูตร t-test dependent (บุญชม ศรีสะอาด, 2547) 3. การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตราตัวสะกด (บุญชม ศรีสะอาด. 2547 : 135)
ผลการศึกษาพบว่า
จากการรายงานครั้งนี้ ผู้รายงานได้สรุปผลการรายงานเป็น 2 ประเด็น ดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 พบว่าประสิทธิภาพของกระบวนการซึ่งประเมินจากกระบวนการเรียน โดยพิจารณาจากคะแนนของแบบฝึกทักษะระหว่างการจัดการเรียนการเรียนรู้ตามแผนการจัดการเรียนรู้โดยการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ทั้ง 4 เล่ม ได้ประสิทธิภาพตัวแรก (E1) เท่ากับ 85.61 และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ซึ่งเป็นการประเมินผลโดยนำคะแนนจากการประเมินผลหลังเรียน ได้ประสิทธิภาพตัวหลัง (E2 ) เท่ากับ 83.51 ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 สูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้ โดยได้เกณฑ์ประสิทธิภาพเท่ากับ 85.61/83.51
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ระหว่างก่อนและหลังเรียนใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา พบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนหลังจากการใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 25.26 สูงกว่าก่อนใช้แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา ซึ่งมีคะแนนเฉลี่ย เท่ากับ 15.26 และเมื่อทำการทดสอบค่า t (t-test dependent) แล้วพบว่ามีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติโดยที่ระดับ .01
จากการที่นักเรียนมีพัฒนาการด้านการเรียนรู้ มีทักษะในเรื่องของ การเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรานั้น เป็นผลมาจากคุณลักษณะพิเศษของ แบบฝึกทักษะการเขียนคำที่มีตัวสะกดไม่ตรงมาตรา กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เมื่อนักเรียนได้เรียนรู้แล้ว ได้ฝึกซ้ำ ย้ำเน้น นักเรียนได้รับความรู้ ความเพลิดเพลินจากการทำแบบฝึกทักษะและจากกิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้มีทัศนคติที่ดีต่อการเรียน มุ่งเน้นให้นักเรียนมีนิสัยรักการเรียน อันเป็นนิสัยพื้นฐานที่ดีในการดำเนินชีวิตต่อไป
ผลที่เกิดกับผู้เรียน
1. นักเรียนสามารถอ่านออกเขียนได้ถูกต้อง
2. นักเรียนได้เปลี่ยนพฤติกรรมอย่างเช่น รักการอ่านยามว่าง สนใจในการศึกษาค้นคว้าเพิ่มขึ้น
ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการนำไปใช้
1.2 ในการจัดทำแบบฝึกทักษะการเขียนสะกดคำไม่ตรงมาตราตัวสะกด ครูผู้สอน ควรเลือกคำที่กำหนดมาให้นักเรียนเขียนควรให้เหมาะสมกับระดับชั้นและวัยของผู้เรียน
1.3 การจัดกิจกรรมในแต่ละแบบฝึกทักษะ ครูควรชี้แจงวิธีการทำ ความมีวินัยในตนเองรวมทั้งความซื่อสัตย์ โดยให้ผู้เรียนใช้ความสามารถของตนเอง และมีครูดูแลอย่างใกล้ชิด
2. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรมีการสร้างแบบฝึกทักษะสะกดคำประกอบภาพการ์ตูนสีในเนื้อหาอื่นๆ ที่ครูเห็นว่าเป็นปัญหา และยากสำหรับนักเรียนในทุกชั้นเรียน หรือนักเรียนที่เรียนอ่อน
2.2 ควรมีการวิจัยการจัดการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะกับเนื้อหากลุ่มสาระอื่นๆ เช่น กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นต้น