ชื่อเรื่อง รายงาน การนิเทศการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคม กับ วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี
ผู้รายงาน นายศักดา บาลศิริ
ผู้อำนวยการสถานศึกษาโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคม
สังกัดสำนักการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม องค์การบริหารส่วนจังหวัด
นครราชสีมา
ปีที่ดำเนินการ 2560
บทคัดย่อ
การนิเทศการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคม กับ วิทยาลัยเทคนิคสุรนารี ครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานตามโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี 2) เพื่อนิเทศการดำเนินงานตามโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลายระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี ด้วยกระบวนการนิเทศ PIDERและ 3) เพื่อประเมินความพึงพอใจการดำเนินงานตามโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารีโดยแบ่งการดำเนินงานออกเป็น 4 ระยะ คือระยะที่ 1 ศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลายระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี ด้วยการประเมินโครงการตามรูปแบบ CIPP Model ของสตัฟเฟิลบีม (Stufflebeam, D.L.,) และคณะระยะที่ 2 การนิเทศการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลายระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี ด้วยกระบวนการนิเทศ PIDER ของสงัด อุทรานันท์และระยะที่ 3 ประเมินความพึงพอใจต่อการนิเทศการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช. อาชีวศึกษา - มัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคม กับ วิทยาลัยเทคนิคสุรนารีกลุ่มผู้ให้ข้อมูลในการศึกษาสภาพปัญหาการดำเนินงานตามโครงการได้แก่คณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐานครูนักเรียนและผู้ปกครองโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมปีการศึกษา2560ผู้วิจัยกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่างโดยใช้ตารางของ Krejcie& Morgan และใช้วิธีการสุ่มแบบง่าย Simple random sampling ด้วยการจับฉลาก (บุญชมศรีสะอาด. 2545 : 43)ได้กลุ่มตัวอย่าง ทั้งสิ้นจำนวน 170 คน ได้แก่ ครูผู้สอน จำนวน 24 คนคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 14 คนนักเรียน จำนวน 66 คนและผู้ปกครอง จำนวน 66 ส่วนการสอบถามความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศการดำเนินงานตามโครงการนั้น ผู้วิจัยใช้ประชากรครูผู้สอนทั้งหมด จำนวน 24 คน เป็นผู้ตอบแบบสอบถาม เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบสอบถามความคิดเห็นต่อสภาพปัญหาการดำเนินงานตามโครงการและแบบสอบถามความพึงพอใจเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating scale) 5 ระดับ สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลได้แก่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัย พบว่า
1. ผลการศึกษาสภาพและปัญหาการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตร ปวช.อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลาย ระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี พบว่า โดยรวมทุกด้านอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณารายด้าน พบว่า
1.1 ด้านสภาพแวดล้อม (Context Evaluation) พบว่า โดยรวมทุกข้อ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า นโยบายของโครงการสอดคล้องกับนโยบายขององค์การบริหารส่วนจังหวัด กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น และกระทรวงศึกษาธิการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุดรองลงมาได้แก่ นโยบายของโครงการสอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545
1.2 ด้านปัจจัยนำเข้า (Input Evaluation) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า นักเรียนและผู้ปกครองมีความสนใจที่จะเข้าร่วมโครงการ และทั้ง 2 สถาบันมีวัสดุ-อุปกรณ์เครื่องมือต่างๆที่อำนวยความสะดวกอย่างเหมาะสม มีค่าเฉลี่ยสูงสุดเท่ากัน รองลงมาได้แก่ โรงเรียนเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองเข้ามามีส่วนร่วมในการสนับสนุนงบประมาณ
1.3 ด้านกระบวนการ (Process Evaluation) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ย อยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า โรงเรียนดำเนินการเป็นไปตามโครงการ ที่กำหนด มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ครูผู้สอนหาเวลาจัดกิจกรรมเพื่อเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ให้บรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมาย
1.4 ด้านผลผลิต (Product Evaluation) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า นักเรียนสามารถนำความรู้ไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ นักเรียนมีความรู้สึกที่ดีเห็นคุณค่า และเกิดความ
2. ความพึงพอใจต่อกระบวนการนิเทศการดำเนินงานโครงการเรียนร่วมหลักสูตรปวช. อาชีวศึกษา-มัธยมศึกษาตอนปลายระหว่างโรงเรียนหนองบุญมากพิทยาคมกับวิทยาลัยเทคนิคสุรนารี ในภาพรวมและตามขั้นตอนกระบวนการนิเทศพบว่า โดยรวมมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณาตามขั้นตอนกระบวนการนิเทศพบว่า การวางแผนการนิเทศ (Planning - P) มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ การปฏิบัติงาน (Doing - D)เมื่อพิจารณารายขั้นตอน พบว่า
2.1 ขั้นการวางแผนการนิเทศ (Planning - P) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด (=4.64) และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า การนิเทศเหมาะสมกับสภาพปัจจุบันปัญหาและความต้องการของท่านมีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ แจ้งนโยบายและมีเป้าหมายของการนิเทศชัดเจน
2.2 ขั้นการให้ความรูในสิ่งที่จะทำ (Informing - I) พบว่า โดยรวมทุกข้อ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า จัดทำคู่มือการนิเทศการดำเนินงานโครงการ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ การส่งเสริมให้คณะครูเข้ารับการอบรมประชุมและสัมมนาทางวิชาการ
2.3 ขั้นการปฏิบัติงาน (Doing - D) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ผู้บริหารเปิดโอกาสให้ครูผู้สอนได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ การปฏิบัติตามกำหนดการในปฏิทินปฏิบัติงานโครงการนิเทศ
2.4 ขั้นการสร้างขวัญและกำลังใจ (Reinforcing R) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ครูมีความภาคภูมิใจในวิชาชีพและสามารถนำเสนอผลงานประกอบผลงานทางวิชาการได้ มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ มีการจัดพิธีมอบเกียรติบัตร ยกย่อง เชิดชูเกียรติอย่างสมเกียรติสมศักดิ์ศรี
2.5 ขั้นการประเมินผลผลิตกระบวนการดำเนินงาน (Evaluating) พบว่า โดยรวมทุกข้อมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก (=3.99) และเมื่อพิจารณารายข้อ พบว่า ครูมีความรู้ความเข้าใจในนโยบาย/วัตถุประสงค์/เป้าหมายของโครงการอย่างลึกซึ้ง มีค่าเฉลี่ยสูงสุด รองลงมาได้แก่ ครูมีความรับผิดชอบ ตระหนักและให้ความสำคัญในการจัดการเรียนรู้ตามโครงการ