ในการดำเนินการพัฒนาเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้รายงานได้กำหนดขั้นตอนในการดำเนินการศึกษาตามลำดับ ดังนี้
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
3. การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
4. แบบแผนการทดลอง
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล
6. การวิเคราะห์ข้อมูล
7. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1.1 ประชากร
ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโสธร
-วรารามวรวิหาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 3 ห้องเรียน รวม 109 คน
1.2 กลุ่มตัวอย่าง
กลุ่มตัวอย่างใช้ในการศึกษาครั้งนี้คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียน วัดโสธรวรารามวรวิหาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 36 คน ได้มาจากการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
1. เอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 6 เล่ม
2. แบบประเมินทักษะฟุตซอลสำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 ข้อ
4. แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 10 ข้อ
การสร้างและหาคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า
1. การสร้างเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้รายงานได้ดำเนินการตามลำดับดังนี้
1.1 ศึกษาเอกสารหลักสูตรวิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เพื่อวิเคราะห์เนื้อหา และจุดมุ่งหมายเพื่อใช้ในการสร้างเอกสารประกอบการเรียน
1.2 ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับหลักการและวิธีการสร้างเอกสารประกอบการเรียน จากเอกสารตำรา และงานวิจัยเพื่อเป็นแนวทางในการจัดเนื้อหา
1.3 สร้างเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 6 เล่ม ดังนี้
เล่มที่ 1 เรื่อง ประวัติและความรู้ทั่วไปกีฬาฟุตซอล
เล่มที่ 2 เรื่อง การเลี้ยงบอลและการรับส่งลูกบอล
เล่มที่ 3 เรื่อง การควบคุมลูกบอลและการยิงประตู
เล่มที่ 4 เรื่อง การโทม่งลูกบอลและการรักษาประตู
เล่มที่ 5 เรื่อง กฎ กติกา กีฬาฟุตซอล
เล่มที่ 6 เรื่อง รูปแบบการเล่นกีฬาฟุตซอล
1.4 นำเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นเสนอให้ผู้เชี่ยวชาญ จำนวน 5 คน เป็นผู้ตรวจสอบคุณภาพเหมาะสมในด้านเนื้อหา ด้านภาษาที่ใช้ ด้านการจัดรูปเล่มและการพิมพ์ ดังมีรายนามดังต่อไปนี้
1.4.1 นายศิริ เผือกพูลผล ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนบางน้ำเปรี้ยววิทยา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6
1.4.2 นายทศทิศ เทวารุธ ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนดัดดรุณี
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6
1.4.3 นายไพโรจน์ ขำสำอาง ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการ ฉะเชิงเทรา
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6
1.4.4 นายวิโรจน์ สิรถนอมทรัพย์ ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6
1.4.5 นายโกมล กำเนิดหิน ครูชำนาญการพิเศษ
โรงเรียนเบญจมราชรังสฤษฏิ์
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 6
โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
คะแนน 5 หมายถึง มีคุณภาพในระดับมากที่สุด
คะแนน 4 หมายถึง มีคุณภาพในระดับมาก
คะแนน 3 หมายถึง มีคุณภาพในระดับปานกลาง
คะแนน 2 หมายถึง มีคุณภาพในระดับน้อย
คะแนน 1 หมายถึง มีคุณภาพในระดับน้อยที่สุด
1.5 นำผลการประเมินคุณภาพของเอกสารหลักสูตรวิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากผู้เชี่ยวชาญ ทั้ง 5 คน มาหาค่าเฉลี่ยโดยใช้เกณฑ์ของ บุญชม ศรีสะอาด (2545, หน้า 102-103) ดังนี้
ช่วงคะแนนเฉลี่ย การแปลผล
4.51 - 5.00 มีคุณภาพในระดับมากที่สุด
3.51 - 4.50 มีคุณภาพในระดับมาก
2.51 - 3.50 มีคุณภาพในระดับปานกลาง
1.51 - 2.50 มีคุณภาพในระดับน้อย
1.00 - 1.50 มีคุณภาพในระดับน้อยที่สุด
ผลการประเมินคุณภาพพบว่าเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 มีค่าเฉลี่ยโดยรวมเท่ากับ 4.56 ซึ่งมีคุณภาพอยู่ในระดับมากที่สุด
1.6 นำเอกสารประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผ่านการตรวจสอบคุณภาพไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยมีการดำเนินการดังนี้
1.6.1 การหาประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (Individual Tryout) นำเอกสาร
ประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ที่มีระดับการเรียนรู้แตกต่างกัน จำนวน 3 คน แบ่งเป็นเก่ง 1 คน ปานกลาง 1 คน และอ่อน 1 คน เพื่อดูความเหมาะสมของเนื้อหา แล้วนำผลมาคำนวณหาค่าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน ได้ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) = 73.33/72.22
1.6.2 การหาประสิทธิภาพแบบกลุ่มย่อย (Small Group Tryout) นำเอกสาร
ประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะให้เหมาะสมและสมบูรณ์ขึ้นไปทดลองใช้กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ที่มีระดับความรู้แตกต่างกัน จำนวน 9 คน แบ่งเป็น เก่ง 3 คน ปานกลาง 3 คน และอ่อน 3 คน เพื่อตรวจสอบความเหมาะสมของเนื้อหาเพื่อนำมาปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมและสมบูรณ์ยิ่งขึ้นแล้วนำผลมาคำนวณหาค่าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนได้ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) = 77.78/74.81
1.6.3 การหาประสิทธิภาพแบบกลุ่มใหญ่ (Field Tryout) นำเอกสาร
ประกอบการเรียน วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ได้ปรับปรุงแก้ไขตามข้อเสนอแนะให้เหมาะสม และสมบูรณ์มากขึ้นไปทดลองกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนวัดโสธรวรา-รามวรวิหาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 ที่มีระดับการเรียนรู้แตกต่างกัน จำนวน 30 คน แบ่งเป็น เก่ง 10 คน ปานกลาง 10 คน และอ่อน 10 คน จำนวน 30 คน แล้วนำผลมาคำนวณหาค่าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียน ได้ค่าประสิทธิภาพ (E1/E2) = 84.17/82.56
1.6.4 นำเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่
4 ที่ปรับปรุงแก้ไขเป็นฉบับสมบูรณ์แล้วไปใช้จริงกับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/3 จำนวน 36 คน
2. แบบประเมินทักษะฟุตซอล สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้รายงานได้ดำเนินการตามลำดับดังนี้
2.1 ศึกษาคู่มือ ตำรา เอกสาร งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแนวคิด หลักการและทฤษฎีเกี่ยวกับการสร้างแบบทดสอบทักษะฟุตซอล
2.2 วิเคราะห์องค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับทักษะของฟุตซอลในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 4 พบว่า ทักษะพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ การครอบครองลูกฟุตซอล การเลี้ยงลูกฟุตซอล การเตะลูก ฟุตซอล การหยุดลูกฟุตซอล การรับ - การส่ง ลูกฟุตซอล การยิงประตู และทำการสร้างแบบทดสอบทักษะต่าง ๆ รวมทั้งสิ้น 7 รายการ ดังนี้
1) การเดาะลูกฟุตซอล
2) การเลี้ยงลูกฟุตซอล
3) การเตะลูกฟุตซอล
4) การหยุดลูกฟุตซอล
5) การรับ - การส่ง ลูกฟุตซอล
6) การยิงประตู
2.3 นำแบบประเมินทักษะฟุตซอลให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม จำนวน 5 คน ตรวจสอบความถูกต้อง ความชัดเจนของภาษา ความครอบคลุมเนื้อหา และประเมินความสอดคล้องระหว่างแบบประเมินกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
ให้คะแนน + 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์
ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์
ให้คะแนน - 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่วัดตามจุดประสงค์
2.4 นำผลที่ได้จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ข้อมูล หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวังโดยใช้สูตร IOC เลือกข้อ ที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ถึง 1.00 จากผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน พบว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 0.60-1.00
2.5 จัดพิมพ์แบบประเมินที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้วเป็นแบบประเมินฉบับจริงเพื่อ ใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป
3. แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ผู้รายงานมีการดำเนินการตามขั้นตอน ดังนี้
3.1 ศึกษาเนื้อหาของหลักสูตร วิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4
3.2 ศึกษาทฤษฎี หลักการ และวิธีการสร้างแบบทดสอบ
3.3 วิเคราะห์เนื้อหาและจุดประสงค์ของเนื้อหาแต่ละเรื่องเพื่อเขียนจุดประสงค์ เชิงพฤติกรรม
3.4 สร้างแบบทดสอบชนิดปรนัย 4 ตัวเลือก โดยให้ครอบคลุมเนื้อหาและจุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ในแต่ละเรื่อง จำนวน 50 ข้อ ใช้จริง 30 ข้อ
3.5 นำแบบทดสอบที่ได้ไปให้ผู้เชี่ยวชาญชุดเดิม จำนวน 5 คน เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง ความชัดเจนของภาษา ความครอบคลุมเนื้อหา และประเมินความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้ โดยมีเกณฑ์การให้คะแนนดังนี้
ให้คะแนน + 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์
ให้คะแนน 0 เมื่อไม่แน่ใจว่าข้อสอบนั้นวัดตามจุดประสงค์
ให้คะแนน - 1 เมื่อแน่ใจว่าข้อสอบนั้นไม่วัดตามจุดประสงค์
3.6 นำผลที่ได้จากการประเมินของผู้เชี่ยวชาญมาวิเคราะห์ข้อมูล หาค่าดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อคำถามของแบบทดสอบกับจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้สูตร IOC เลือกข้อที่มีค่า IOC ตั้งแต่ 0.50 ถึง 1.00 จากผลการประเมินของผู้เชี่ยวชาญทั้ง 5 ท่าน พบว่า มีค่าอยู่ระหว่าง 0.60-1.00
3.7 นำแบบทดสอบที่ปรับปรุงแก้ไขแล้วตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ ไปทดสอบ กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนวัดโสธรวรารามวรวิหาร ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 30 คน เพื่อตรวจหาคุณภาพของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
3.8 นำผลการทดสอบมาตรวจให้คะแนนและนำมาวิเคราะห์หาความยากง่าย (p) ค่าอำนาจจำแนก (r) เป็นรายข้อ (สมนึก ภัททิยธนี, 2546, หน้า 212-221) โดยคัดเลือกหรือปรับปรุงแบบทดสอบที่มีค่าความยากง่ายระหว่าง 0.20-0.80 ค่าอำนาจจำแนกตั้งแต่ 0.20 ขึ้นไป เลือกมา เป็นแบบทดสอบจำนวน 30 ข้อ ผลการคัดเลือกได้ค่าความยากง่าย (p) อยู่ระหว่าง 0.33 - 0.67 และค่าอำนาจจำแนก (r) อยู่ระหว่าง 0.27-0.60
3.9 หาค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยใช้สูตร KR-20 ของ Kuder-Richardson (สมนึก ภัททิยธนี, 2546, หน้า 223) ได้ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.85
2.10 จัดพิมพ์แบบทดสอบที่ผ่านการปรับปรุงแก้ไขแล้วเป็นแบบทดสอบฉบับจริงเพื่อ ใช้เป็นเครื่องมือในการเก็บรวบรวมข้อมูลต่อไป
3. แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209)
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ผู้รายงานมีการดำเนินการ ตามขั้นตอน ดังนี้
3.1 ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับวิธีการสร้างแบบวัดความพึงพอใจ
3.2 สร้างแบบวัด ซึ่งมีลักษณะเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับดังนี้
มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด จำนวน 20 ข้อ ใช้จริง 10 ข้อ
3.3 กำหนดเกณฑ์การให้คะแนนความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อเอกสาร
ประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 100) กำหนดการให้คะแนนประเมินผลตามหลักเกณฑ์ ดังนี้
มีความพึงพอใจมากที่สุด ให้ 5 คะแนน
มีความพึงพอใจมาก ให้ 4 คะแนน
มีความพึงพอใจปานกลาง ให้ 3 คะแนน
มีความพึงพอใจน้อย ให้ 2 คะแนน
มีความพึงพอใจน้อยที่สุด ให้ 1 คะแนน
กำหนดเกณฑ์การแปลความหมายของค่าเฉลี่ย ดังนี้
ค่าเฉลี่ย 4.51 5.00 แปลความว่า มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด
ค่าเฉลี่ย 3.51 4.50 แปลความว่า มีความพึงพอใจในระดับมาก
ค่าเฉลี่ย 2.51 3.50 แปลความว่า มีความพึงพอใจในระดับปานกลาง
ค่าเฉลี่ย 1.51 2.50 แปลความว่า มีความพึงพอใจในระดับน้อย
ค่าเฉลี่ย 1.00 1.50 แปลความว่า มีความพึงพอใจในระดับน้อยที่สุด
3.4 นำแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่สร้างขึ้นเสนอผู้เชี่ยวชาญชุดเดิมพิจารณาตรวจสอบความถูกต้อง ความเที่ยงตรงของข้อคำถามแต่ละข้อ (IOC) พบว่า มีค่า ตั้งแต่ 0.80 ถึง 1.00 ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้
3.5 นำแบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ปรับปรุงตามข้อเสนอแนะของผู้เชี่ยวชาญไปทดลองใช้ (Try Out) กับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เป็นกลุ่มทดลองการหาประสิทธิภาพแบบกลุ่มใหญ่ (Field Tryout) ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 30 คน
3.6 นำแบบวัดความพึงพอใจทั้งฉบับมาหาค่าความเชื่อมั่น โดยหาค่าสัมประสิทธิ์แอลฟา (Alpha-coefficient) ของครอนบัค (Cronbach) พบว่า มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.92
3.7 พิมพ์แบบวัดความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ฉบับจริงเพื่อนำไปใช้เก็บข้อมูลต่อไป
แบบแผนการทดลอง
การทดลองครั้งนี้ใช้รูปแบบแผนการทดลอง One Group Pretest-Posttest Design
ดังแสดงในตารางที่ 3
ตารางที่ 3 แบบแผนการทดลองแบบ One Group Pre-test Post-test Design
กลุ่ม Pre-test Treatment Post-test
ทดลอง T1 X T2
เมื่อ T1 หมายถึง การทดสอบก่อนการทดลอง (Pre-test)
T2 หมายถึง การทดสอบหลังการทดลอง (Post-test)
X หมายถึง การเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียน
การเก็บรวบรวมข้อมูล
1. ผู้รายงานได้อธิบายชี้แจงทำความตกลงกับนักเรียนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างในเรื่องการเรียน เวลาเรียน วิธีการในการเรียน
2. ทำการเก็บข้อมูลก่อนทดลอง โดยให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ และประเมินทักษะฟุตซอล จำนวน 6 รายการ เพื่อนำคะแนนที่ได้เป็นคะแนนทดสอบก่อนเรียน
3. ให้นักเรียนกลุ่มตัวอย่างเรียนด้วยเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 และให้ทำแบบทดสอบท้ายเล่ม และประเมินทักษะฟุตซอล เพื่อนำคะแนนที่ได้เป็นคะแนนระหว่างเรียน
4. หลังจากนักเรียนทดลองเรียนครบทั้ง 6 เล่มแล้ว ให้นักเรียนทำแบบทดสอบ วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ ประเมินทักษะฟุตซอลด้วยแบบประเมินชุดเดิม เพื่อนำคะแนนที่ได้เป็นคะแนนทดสอบหลังเรียนและให้นักเรียนทำแบบวัดความพึงพอใจ จำนวน 10 ข้อ
5. ตรวจผลการทำแบบทดสอบท้ายเล่ม แบบประเมินทักษะประจำเล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบประเมินทักษะฟุตซอล ที่ได้จากการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน และแบบวัดความพึงพอใจ แล้วจึงนำไปวิเคราะห์โดยใช้วิธีการทางสถิติต่อไป
การวิเคราะห์ข้อมูล
ในการวิเคราะห์ข้อมูล ผู้รายงานได้ดำเนินการดังนี้
1. วิเคราะห์ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ตามเกณฑ์ 80/80 โดยหาค่าร้อยละ
2. เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังการเรียนด้วยเอกสารประกอบการ
เรียนวิชา ฟุตซอล 2 (พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4โดยใช้สูตร t-test แบบ dependent Samples
3. วิเคราะห์ความพึงพอใจที่มีต่อเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยหาค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล
1. สถิติพื้นฐาน
1.1 ค่าร้อยละ (Percentage) โดยใช้สูตรดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2546, หน้า 101)
เมื่อ P แทน ร้อยละ
f แทน ความถี่ที่ต้องการแปลงให้เป็นร้อยละ
N แทน จำนวนความถี่ทั้งหมด
1.2 ค่าเฉลี่ย ( ) โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 105)
เมื่อ แทน ค่าเฉลี่ย
แทน ผลรวมคะแนนทั้งหมดในกลุ่ม
n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
1.3 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) โดยใช้สูตร (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 106)
เมื่อ S.D. แทน ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
n แทน จำนวนนักเรียนในกลุ่มตัวอย่าง
X แทน ผลรวมของคะแนน
X2 แทน ผลรวมของคะแนนแต่ละค่ายกกำลังสอง
2. สถิติที่ใช้ตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ
2.1 การหาค่าดัชนีความสอดคล้อง (IOC) ของเนื้อหากับจุดประสงค์ได้จากสูตร
(สมนึก ภัททิยธนี, 2546, หน้า 217-220)
เมื่อ IOC แทน ดัชนีความสอดคล้องระหว่างข้อสอบกับจุดประสงค์
แทน ผลรวมของคะแนนความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญ
ด้านเนื้อหาวิชาทั้งหมด
N แทน จำนวนผู้เชี่ยวชาญ
2.2 การคํานวณหาดัชนีค่าความยากง่าย (p) ของข้อสอบ โดยใช้สูตร (สมนึก ภัททิยธนี, 2546, หน้า 212)
เมื่อ P แทน ระดับความยาก
R แทน จำนวนคนตอบถูกทั้งหมด
N แทน จำนวนคนทั้งหมด
2.3 การคำนวณค่าอำนาจจำแนก (r) ของแบบทดสอบ โดยใช้สูตร (สมนึก ภัททิยธนี, 2546, หน้า 221)
เมื่อ r แทน ค่าอำนาจจำแนก
PH แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มเก่ง
PL แทน จำนวนนักเรียนที่ตอบถูกในกลุ่มอ่อน
N แทน จำนวนคนทั้งหมดในกลุ่มเก่งและกลุ่มอ่อน
2.4 ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบโดยใช้สถิติของคูเคอร์ ริชาร์ดสัน หรือ
สูตร KR-20 (สมนึก ภัททิยธนี, 2546, หน้า 223)
เมื่อ rtt แทน สัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ
n แทน จำนวนข้อสอบทั้งหมด
p แทน สัดส่วนของผู้ที่ตอบถูกในแต่ละข้อ
q แทน สัดส่วนของผู้ที่ตอบผิดในแต่ละข้อ (1 p)
แทน ความแปรปรวนของคะแนนทั้งหมด
2.5 ค่าความเชื่อมั่นของแบบวัดความพึงพอใจ โดยใช้วิธีของ Cronbach
(บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 96) ดังนี้
เมื่อ แทน ค่าสัมประสิทธิ์ความเชื่อมั่น
K แทน จำนวนข้อของแบบสอบถาม
แทน ผลรวมของความแปรปรวนของแต่ละข้อ
แทน ความแปรปรวนของคะแนนรวม
2.6 หาค่าประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการเรียนวิชา ฟุตซอล 2
(พ 31209) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้สูตร ดังนี้ (เผชิญ กิจระการ, 2545, หน้า 46-51)
เมื่อ E1 แทน ประสิทธิภาพของกระบวนการ
X แทน คะแนนรวมของคะแนนทดสอบประจำเล่ม
A แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบประจำเล่มรวมกัน
N แทน จำนวนผู้เรียน
เมื่อ E2 แทน ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
F แทน คะแนนรวมของคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
B แทน คะแนนเต็มของแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียน
N แทน จำนวนผู้เรียน
3. สถิติที่ใช้ในการทดสอบสมมติฐาน
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้สูตร t test (Dependent Samples) (บุญชม ศรีสะอาด, 2545, หน้า 112)
เมื่อ t แทน การทดสอบความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียน
และหลังเรียน
D แทน ความแตกต่างระหว่างคะแนนสอบหลังเรียนกับ
ก่อนเรียนของนักเรียนแต่ละคน
D แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและ
หลังเรียนของนักเรียนทุกคน
D2 แทน ความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนของ
นักเรียนแต่ละคนยกกำลังสอง
D2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและ
หลังเรียนของนักเรียนแต่ละคนยกกำลังสอง
(D)2 แทน ผลรวมของความแตกต่างของคะแนนก่อนเรียนและ
หลังเรียนของนักเรียนทุกคนยกกำลังสอง
n แทน จำนวนนักเรียนทั้งหมด