ชื่อเรื่อง ผลการใช้ Visual Supports ผ่านแถบประโยค เพื่อพัฒนา ความสามารถด้านการอ่านและเขียนประโยคสำหรับนักเรียนออทิสติก ห้องเรียนขอบฟ้ากว้าง โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง
ผู้วิจัย นางกนกนุช บัวสำโรง
ปีที่พิมพ์ พ.ศ.2561
บทคัดย่อ
การวิจัยเรื่อง ผลการใช้ visual supports ผ่านแถบประโยคเพื่อพัฒนาความสามารถ
ด้านการอ่านและเขียนประโยคสำหรับนักเรียนออทิสติก ห้องเรียนขอบฟ้ากว้าง โรงเรียนเทศบาล
วัดกลาง มีวัตถุประสงค์ คือ 1) เพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนประโยคให้ตรงกับสถานการณ์สำหรับนักเรียนออทิสติก โดยใช้หลัก Visual Supports ผ่านแถบประโยค และ 2) เพื่อเปรียบเทียบความสามารถด้านการอ่านและการเขียนประโยคให้ตรงกับสถานการณ์ของนักเรียนออทิสติก ก่อนและหลังการนำหลักการของ Visual Supports มาใช้ผ่านแถบประโยค ซึ่งการวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วม (participatory action research: PAR) ที่มีรูปแบบเน้นการเป็นศาสตร์เชิงวิพากษ์ (critical science) นำเสนอผลการวิจัยอิงกับแนวคิดเชิงวิพากษ์ (critical approach) แสดงหลักฐานประกอบ ทั้งข้อมูล สถิติ ภาพถ่าย เอกสาร หรือรวมถึงสิ่งอื่นๆ ที่ได้ร่วมกันคิดร่วมกันปฏิบัติ ร่วมกันสังเกตผล และร่วมกันสะท้อนผลการเปลี่ยนแปลง ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จและการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นจากการใช้ visual support ผ่านแถบประโยคเพื่อพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและเขียนประโยคของนักเรียนออทิสติก ห้องเรียนขอบฟ้ากว้าง โรงเรียนเทศบาลวัดกลาง ซึ่งผู้วิจัยนำเสนอสรุปในแต่ละประเด็นไว้ ดังนี้
1. ดำเนินการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมสองวงจร วงจรละ 1 เดือน โดยมีขั้นตอน
การวิจัย 10 ขั้นตอน ยึดถือหลักการ 10 ประการ จรรยาบรรณ 10 ประการ และบทบาทของนักวิจัย 10 ประการ ตามที่กล่าวในบทที่ 2 โดยเฉพาะจรรยาบรรณเกี่ยวกับการแสดงให้ทราบถึงธรรมชาติของกระบวนการวิจัยแต่เริ่มแรก รวมทั้งข้อเสนอแนะ และผลประโยชน์ให้แก่ผู้ร่วมวิจัยทราบ และจรรยาบรรณผู้ร่วมการวิจัยต่างมีอิทธิพลต่อการทำงาน แต่ผู้ที่ไม่ประสงค์มีส่วนร่วมต้องได้รับ
การยอมรับและเคารพในสิทธิส่วนบุคคล เพราะเป็นจรรยาบรรณที่เกี่ยวข้องกับสิทธิส่วนบุคคล
2. ยึดถือรูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการแบบมีส่วนร่วมที่เน้นความเป็นศาสตร์เชิงวิพากษ์
การนำเสนอผลการวิจัยอิงกับแนวคิดเชิงวิพากษ์ แสดงหลักฐานประกอบ ทั้งข้อมูล สถิติ ภาพถ่ายเอกสาร หรืออื่นๆ ถึงสิ่งที่ได้ร่วมกันคิด ร่วมกันปฏิบัติ ร่วมกันสังเกตผล และร่วมกันสะท้อนผล
การเปลี่ยนแปลง ทั้งที่สำเร็จและไม่สำเร็จ และผลการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นกับนักเรียนออทิสติก
3. ให้ความสำคัญกับกรอบแนวคิดเชิงทฤษฎี ที่จะต้องทบทวนขึ้นมาอย่างมีจุดมุ่งหมาย อย่างมีความหมาย และอย่างมีประโยชน์ที่จะทำให้ผู้วิจัยมีความไวเชิงทฤษฎีต่อการนำไปใช้อธิบายปรากฏการณ์หรือการให้คำแนะนำต่อผู้ร่วมวิจัย ในลักษณะที่ไม่ใช่เป็นการยัดเยียด ไม่ให้เป็นตัวชี้นำหรือไม่ให้มีอิทธิพลต่อการนำไปปฏิบัติของผู้ร่วมวิจัย แต่จะต้องคำนึงถึงการเป็นทางเลือก การเป็นตัวเสริม
4. การสร้างทัศนคติที่ดีให้เกิดขึ้นกับผู้ร่วมวิจัยและผู้เกี่ยวข้องว่า ทฤษฎีกับการปฏิบัติเป็นสิ่งที่ไปด้วยกันได้ ไม่ได้เป็นเส้นขนานที่ไม่มีวันบรรจบกัน สร้างกรอบแนวคิดให้ผู้ร่วมวิจัยและผู้เกี่ยวข้องได้เข้าใจและตระหนักถึงความสัมพันธ์เชิงบวกในลักษณะสามเส้าระหว่าง การวิจัยทฤษฎี และ
การปฏิบัติ หรือ นักวิจัย นักทฤษฎี และ นักปฏิบัติ
5. ผู้วิจัยเน้นบทบาทการเป็นผู้มีส่วนร่วมและเป็นผู้ส่งเสริมสนับสนุนและอำนวยความสะดวกให้มีการปฏิบัติตามแผนเชิงปฏิบัติการที่กำหนดไว้ โดยมุ่งให้บรรลุผลตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดตามหลักการ มุ่งการเปลี่ยนแปลง และมุ่งให้เกิดการกระทำเพื่อบรรลุผล พยายามไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ ที่ได้อย่างง่ายๆ หรือสำเร็จรูปเกินไป
6. ให้มีการบันทึกผลการดำเนินงานทั้งของผู้วิจัยและผู้ร่วมวิจัย โดยคำนึงถึงหลักการบันทึก
1) การเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมและการปฏิบัติ
2) การเปลี่ยนแปลงในคำอธิบายถึงสิ่งที่ปฏิบัติ
3) การเปลี่ยนแปลงในความสัมพันธ์ทางสังคมและรูปแบบองค์การ
4) การพัฒนาตนเองจากการร่วมในการวิจัย และจัดให้มีการพบปะสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเป็นระยะๆ ตามหลักการรับฟังข้อคิดเห็นจากผู้ร่วมวิจัยทุกคน การวิเคราะห์วิพากษ์และประเมินตนเอง ตลอดจนเกิดกระบวนการเรียนรู้ร่วมกันอย่างเป็นระบบการ กำหนดหัวข้อเกี่ยวกับการดำเนินการวิจัย การระบุเหตุผลที่ผลการวิจัยมีความสำคัญ การกำหนดตัวบุคคลที่ ผลการวิจัยจะเป็นประโยชน์ บุคคลที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากนักวิจัย การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์และขยายผลการวิจัย โดยกล่าวถึงวิธีดำเนินการวิจัยในหัวข้อต่างๆ ตามลำดับวิธีดำเนินการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย สถานที่หรือพื้นที่ที่ดำเนินการวิจัย ผู้ร่วมวิจัยและบทบาทของผู้ร่วมวิจัย ขั้นตอนการวิจัย เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย การเก็บรวบรวมข้อมูล การวิเคราะห์ข้อมูล และการเขียนรายงานผลการวิจัย
ผลการวิจัย พบว่า
1. การพัฒนาความสามารถด้านการอ่านและการเขียนประโยคให้ตรงกับสถานการณ์สำหรับนักเรียนออทิสติก โดยใช้หลัก Visual Supports ผ่านแถบประโยค ที่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดประสิทธิผล นั้น ต้องดำเนินการบนความร่วมมือของครูผู้สอน ผู้ปกครอง นักเรียนออทิสติก และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง การสร้างความสัมพันธ์ มิตรภาพ ที่ดี ในการทำงานร่วมกันจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ นักเรียนออทิสติกจึงสามารถอ่านและเขียนประโยคได้ตรงกับสถานการณ์มากขึ้น และคล่องขึ้น ตามเกณฑ์ที่กำหนด
2. ความสามารถด้านการอ่านและการเขียนประโยคให้ตรงกับสถานการณ์ของนักเรียน ออทิสติกหลังได้รับการพัฒนาตามหลักการของ Visual Supports ผ่านแถบประโยค พบว่า นักเรียนออทิสติกมีความสามารถด้านการอ่านและการเขียนประโยคให้ตรงกับสถานการณ์มากขึ้นกว่าเดิม ตามเกณฑ์ที่กำหนด