แบบรายงานนวัตกรรม/วิธีการปฏิบัติที่ดี (Best practice)
ประเภทนวัตกรรม/วิธีการปฏิบัติที่ดี
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education)
ชื่อวิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practices)
การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ
โรงเรียน ลำพลับพลาวิทยาคาร สหวิทยาเขต 5
1. ความสำคัญของนวัตกรรม/วิธีการปฏิบัติที่เป็นเลิศ (Best practices)
โรงเรียนลำพลับพลาวิทยาคาร เป็นโรงเรียนในสังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 เป็นโรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่ในอำเภอชุมพลบุรี จังหวัดสุรินทร์ มีนักเรียนทั้งหมด 141 คน จัดทำการเรียนการสอนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึง 6 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เพื่อให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในการจัดการศึกษาในศตวรรษที่ 21 และประเทศไทย 4.0 และสอดคล้องกับวิสัยทัศน์โรงเรียนที่กล่าวว่า ภายในปีการศึกษา 2562 โรงเรียนลำพลับพลาวิทยาคาร มีคุณภาพตามมาตรฐานการศึกษา ร่วมสืบสานภูมิปัญญาท้องถิ่น ยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง รู้เท่าทันเทคโนโลยี ภายใต้การบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม และนำไปสู่มาตรฐานสากล
โรงเรียนลำพลับพลาวิทยาคารมีบริเวณกว้างขวาง และได้ปลูกต้นไม้ไว้เป็นจำนวนมาก ซึ่งต้นไม้มีความสำคัญอย่างยิ่งในการดำรงชีวิตของมนุษย์เป็นแหล่งออกซิเจน ให้ร่มเงา เป็นแหล่งอาหาร และแหล่งเรียนรู้ทางธรรมชาติ ต้นไม้หลายชนิดเป็นไม้เศรษฐกิจที่นักเรียนสามารถนำความรู้ไปเป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพได้ในอนาคต เช่น อาชีพการขยายพันธุ์ไม้ดอกประดับ อาชีพการแปรรูปอาหารจากพืช และอื่นๆ แต่เนื่องจากการเพาะปลูกพืชในโรงเรียนลำพลับพลาวิทยาคารมีปัญหาและอุปสรรคหลายอย่าง อาทิ สภาพดินเค็ม การใส่ปุ๋ย และการรดน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดูแลรดน้ำในช่วงวันหยุดยาว หรือช่วงปิดภาคเรียน ซึ่งขาดบุคลากรดูแลรดน้ำต้นไม้ ส่งผลให้ต้นไม้เหี่ยวเฉา เจริญเติบโตไม่เต็มที่ และต้องเสียงบประมาณในการสรรหาต้นไม้มาทดแทน
การจัดการเรียนรู้รายวิชาการออกแบบเทคโนโลยี ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง 2561) มีตัวชี้วัด ว 4.1 ม.4/1 วิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยีความสัมพันธ์กับศาสตร์อื่น โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ หรือคณิตศาสตร์ รวมทั้งประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อมนุษย์ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยี
ครูผู้สอนรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยีจึงได้วิเคราะห์หาแนวทางในการแก้ปัญหา โดยใช้ความรู้การบูรณาการข้ามวิชา (Transdisciplinary) ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education ) ของทั้ง 4 วิชาได้แก่ วิทยาศาสตร์ (Science) เรื่อง อุปกรณ์ไฟฟ้าเบื้องต้นและแรงดันของน้ำ เทคโนโลยี (Technology) เรื่อง การสืบค้นระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ และการติดตั้ง ประกอบอุปกรณ์ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ วิศวกรรมศาสตร์(Engineering) เรื่องการออกแบบและปฏิบัติการทางวิศวกรรม และ คณิตศาสตร์ (Mathematics) เรื่อง การหาความยาวและปริมาตรของรูปทรงเรขาคณิตสามมิติและการคำนวณต้นทุนผลผลิต ในการจัดทำระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ โดยใช้หลักการการกำหนดเวลา การทำงานของปั๊มน้ำผ่านระบบท่อส่งน้ำ ผ่านไปยังท่อระบบน้ำพุ่ง
วัตถุประสงค์และเป้าหมายของการดำเนินงาน
วัตถุประสงค์
1) เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ
2) เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนนำความรู้ด้าน STEM ไปออกแบบและต่อวงจรระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ
3) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ในรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ
4) เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และเผยแพร่ความรู้ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติสู่ชุมชน
เป้าหมาย
เชิงปริมาณ
1) นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 24 คน ที่เรียนรายวิชาการออกแบบและ
เทคโนโลยี มีความรู้ด้าน STEM ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ
2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ ระดับมาก
เชิงคุณภาพ
1) นักเรียนมีความรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติให้มีคุณภาพ
2) นักเรียนสามารถต่อวงจรระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติและสามารถใช้งานได้
3) นักเรียนมีเจตคติที่ดีต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education)
ผลการดำเนินงาน/ประโยชน์ที่ได้รับ
ผลที่เกิดกับผู้เรียน
1. นักเรียนได้เรียนรู้และเข้าใจการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) สามารถวิเคราะห์แนวคิดหลักของเทคโนโลยีความสัมพันธ์กับศาสตร์สาขาอื่น ๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิศวกรรมศาสตร์ รวมทั้งประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นต่อมนุษย์ สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อม
2. นักเรียนมีความรู้และเกิดทักษะด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ สามารถอธิบายขั้นตอนการทำระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ ได้ และนำความรู้ที่ได้มาต่อวงจรเป็นระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติได้
3. จากการสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา เรื่อง ระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 24 คน ตามรูปแบบวิธีการของลิเคอร์ท (Likert) เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) มี 5 ระดับ (มากที่สุด น้อยที่สุด) จำนวน 7 ข้อ พบว่า นักเรียนร้อยละ 93.19 มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแนวสะเต็มศึกษา (STEM Education) ระดับ มากที่สุด พร้อมทั้งสามารถอธิบายและเผยแพร่ความรู้ให้กับชุมชนได้
4. นักเรียนมีทักษะตามแนวศตวรรษที่ 21 ด้านทักษะการคิด ทักษะการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ ทักษะการแก้ปัญหา และทักษะการสื่อสาร
ผลที่เกิดกับสถานศึกษา
1. บริเวณโรงเรียนมีสภาพแวดล้อมที่ดี บรรยากาศร่มรื่น เป็นที่พักให้กับนักเรียน เอื้อต่อการจัดการเรียนการสอน
2. โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ชุมชนสามารถนำความรู้จากการเผยแพร่และการมีส่วนร่วมไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้
3. ครูมีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนรู้แบบสะเต็มศึกษา (STEM Education)
ผลที่เกิดกับชุมชน
โรงเรียนเป็นแหล่งเรียนรู้ให้กับชุมชนในการศึกษาดูงานเรื่องระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ ส่งผลให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอนของบุตรหลาน พร้อมทั้งได้รับความรู้และสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้ ส่งผลให้ลดค่าจ้างแรงงานในการรดน้ำต้นไม้ ประหยัดเวลา และเป็นชุมชนต้นแบบในการนำความรู้สะเต็มศึกษามาต่อวงจรระบบรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติ
ประโยชน์ที่ได้รับจากการนำนวัตกรรมไปใช้
1. โรงเรียนได้รับประโยชน์จากการใช้เครื่องรดน้ำต้นไม้อัตโนมัติโดยไม่ต้องใช้บุคลากรในการรดน้ำต้นไม้
2. ทำให้สภาพแวดล้อมภายในโรงเรียนร่มรื่น มีร่มเงา เป็นที่พักผ่อนสำหรับนักเรียนมากยิ่งขึ้น
3. ทำให้โรงเรียนมีต้นไม้เพิ่มมากขึ้น และลดภาระงานของนักการภารโรง