ชื่อเรื่อง การพัฒนาชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์
เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5
ชื่อผู้ศึกษา นางมณีรัตน์ ปาปะโต
สถานศึกษา โรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา
ปีที่ศึกษา 2560
บทคัดย่อ
การศึกษาการพัฒนาของชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิด
วิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความมุ่งหมายเพื่อพัฒนาและหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ให้มีประสิทธิภาพ 80/80 เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการเรียนด้วย ชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิด
วิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 และเพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษา คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 / 4 โรงเรียนประทาย อำเภอประทาย จังหวัดนครราชสีมา ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 40 คน ได้มาโดยวิธีการสุ่มแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ 1) ชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ทั้งหมดจำนวน 6 ชุด 2) หน่วยการเรียนรู้ วิชาภาษาไทยพื้นฐาน เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 1 หน่วย 6 เรื่อง 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาภาษาไทยพื้นฐาน เรื่องลิลิตตะเลงพ่าย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยม
ศึกษาปีที่ 5 เป็นแบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 1 ชุด ทั้งหมด 30 ข้อ และ 4) แบบสอบถามวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จำนวน 10 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลการหาประสิทธิภาพของชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตามเกณฑ์ 80 / 80 คำนวณจากสูตร E1 / E2 , หาดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากคะแนนสอบ ก่อนเรียนและหลังเรียน (E.I.) การทดสอบสมมติฐานเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนจากการเรียนด้วยชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากคะแนนสอบก่อนเรียนและหลังเรียนใช้การทดสอบค่าที (t test แบบ Dependent) และการวัดความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 จากคะแนนประเมินความพึงพอใจของนักเรียนโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบียนมาตรฐาน (S.D.)
ผลการศึกษาพบว่า
1. ชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่พัฒนาขึ้น มีจำนวน 6 ชุด ได้ผ่านขั้นตอนการหาประสิทธิภาพตามขั้นตอน
จนชุดการเรียนรู้ มีประสิทธิภาพ เท่ากับ 84.83/84.08 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ที่ 80/80
2. ดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิด
วิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ .7340 หรือคิดเป็นร้อยละ 73.40 แสดงว่านักเรียน ที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้ มีความก้าวหน้าร้อยละ 73.40
3. นักเรียนที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์
เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
4. นักเรียนที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์
เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีความพึงพอใจต่อชุดการเรียนรู้ โดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด มีค่าเฉลี่ย ( ) เท่ากับ 4.55 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) เท่ากับ 0.50
โดยสรุป การศึกษาครั้งนี้ทำให้ได้ชุดการเรียนรู้ภาษาไทยจากวรรณคดี โดยใช้กระบวนการคิด
วิเคราะห์ เรื่อง ลิลิตตะเลงพ่าย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนบรรลุตามจุดประสงค์การเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ ส่งผลให้นักเรียนสนุกกับการเรียนรู้ กระตุ้นให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะเรียนทำให้เรียนรู้ได้เร็วขึ้น เข้าใจในเนื้อหาบทเรียนได้ดีขึ้น สามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง เกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น