ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาแบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูด วิชาภาษาอังกฤษ
สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ผู้จัดทำ นายประยุทธ ศรีจันทร์
ปีที่วิจัย ปีการศึกษา 2559
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาแบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูด วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการฟังและพูดวิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (3) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังจากการที่นักเรียนได้รับการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดที่พัฒนาขึ้น (4) ศึกษาระดับความพึงพอใจในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดที่พัฒนาขึ้น
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3/2 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 โรงเรียนเทศบาลสวนสนุก อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น โดยปีการศึกษา 2559 มีนักเรียนจำนวน 39 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลองปฏิบัติ ได้แก่ แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูด จำนวน 10 ชุด 2) เครื่องมือที่ใช้ในการสะท้อนผลการปฏิบัติการสอนของครู ได้แก่ แบบบันทึกเหตุการณ์ขณะทำการสอนของครู แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการสอนของครู แบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมการเรียนของนักเรียน และแบบทดสอบย่อยหลังจากเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดแต่ละเรื่อง 3) เครื่องมือที่ใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 30 ข้อ และแบบสอบถามวัดความพึงพอใจของของนักเรียน
การวิจัยครั้งนี้ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ ซึ่งมีวงจรปฏิบัติการวิจัยทั้งหมด 3 วงจร ดังนี้ วงจรปฏิบัติการที่ 1 ประกอบไปด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1 3 วงจรปฏิบัติการที่ 2 ประกอบไปด้วย แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 4 6 และวงจรปฏิบัติการที่ 3 ประกอบไปด้วย แผนการเรียนรู้ที่ 7 10 และเมื่อสิ้นสุดในแต่ละวงจรผู้วิจัยและผู้ช่วยวิจัยนำข้อมูลที่ได้มาวิเคราะห์และสะท้อนผลการปฏิบัติงานเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอนและแบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูด วิชาภาษาอังกฤษในวงจรปฏิบัติการต่อไปให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น วิเคราะห์ข้อมูลโดยการวิเคราะห์หาค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบความแตกต่างโดยการทดสอบที (ttest) คำนวณด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ SPSS for Windows
ผลการวิจัยพบว่า
1. แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูด วิชาภาษาอังกฤษ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 91.87/90.07 สูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้
2. แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูด วิชาภาษาอังกฤษ ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้นมีค่า ดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7116 แสดงว่า กิจกรรมการเรียนรู้ ทำให้นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นร้อยละ 71.16
3. นักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. นักเรียนที่ได้รับการสอนภาษาอังกฤษโดยใช้แบบฝึกทักษะการฟังและทักษะการพูดใน ปีการศึกษา 2559 มีความพึงพอใจในระดับมากที่สุด