การพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ได้สรุปผลการวิจัย ดังนี้
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ
กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียน อุบลวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 43 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) โดยใช้วิธีการจับสลากเลือกห้องเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน จำนวน 5 ชุด แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 24 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 ข้อ
สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t
สรุปผลการวิจัย
1. แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.52/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75
2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน พบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 8.37 และคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 25.12 ดังนั้น คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
อภิปรายผลการวิจัย
1. จากการพัฒนาชุแบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน พบว่า แบบฝึกเสริมทักษะมีประสิทธิภาพ 84.52/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ ผลการศึกษาครั้งนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากกิจกรรมการเรียนรู้ในแบบฝึกเสริมทักษะ มีความต่อเนื่องกันตามลำดับ จากง่ายไปหายาก การแบ่งแบบฝึกออกเป็นชุด ๆ เพื่อให้นักเรียน ได้เรียนรู้ง่ายขึ้น ผลทำให้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน มีผลการพัฒนาที่ดีขึ้นสอดคล้องกับงานวิจัยของ จักรพงษ์ ทองสิงห์ (2549 : 58-59) ได้ทำการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบจำนวนเต็ม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็มให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็มที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านบ่อหิน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็มสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.44/81.11 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบจำนวนเต็ม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และงานวิจัยของ สุคนธ์ ยั่งยืน (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทำการพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องเศษส่วน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง เศษส่วน ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดำรงสินอุทิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องเศษส่วน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.67/83.25 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าการทดสอบก่อนเรียน
ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของนักเรียนที่ใช้แบบฝึกเสริมทักษะที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ทั้งนี้น่าจะมาจากสาเหตุ ดังนี้
2.1 การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะได้เริ่มต้นจากเรื่องง่ายไปหายาก และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกัน ครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีให้แก่นักเรียนก่อนจะได้รับการฝึกทักษะ มีการแสดงผลย้อนกลับ ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและจดจำเนื้อหาได้ดี
2.2 นักเรียนมีโอกาสพัฒนาตนเองตามศักยภาพทุกเวลา ทุกโอกาสเนื่องจากแบบฝึกเสริมทักษะที่สร้างขึ้นมีขั้นตอนการใช้ที่ง่าย สะดวก มีการตรวจให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนเป็นระยะทุกแบบฝึกสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนอยากจะฝึกฝนมากขึ้น สอดคล้องกับผลการวิจัยเรื่องการให้ข้อมูลย้อนกลับควบคู่กับการเสริมแรงแบบต่อเนื่องในจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ สอดคล้องกับ ปราณี จิณฤทธิ์ (2552 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และเจตคติทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จังหวัดนครราชสีมา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์และ 3) เปรียบเทียบเจตคติต่อกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จำนวน 31 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 81.21/82.99 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) เจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และอยู่ในระดับมาก และงานวิจัยของ นัชนันท์ กรมขุนทด (2553 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนชุมชนบ้านคลองลาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 33 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด และมีประสิทธิภาพ 78.80/75.93 ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
ข้อเสนอแนะ
ข้อเสนอแนะทั่วไป
1. ในการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สิ่งที่จำเป็นที่สุด ได้แก่ การเตรียมกิจกรรม การสอนของครูก่อนการนำแบบฝึกให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ ดังนั้นกิจกรรมการสอนต้องสอดคล้องกับกิจกรรมในแบบฝึกทักษะ มีการยกตัวอย่างง่าย ๆ และพัฒนาเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น
2. ครูควรมีกิจกรรมนำเสนอผลงานของนักเรียน หลังจากการทำกิจกรรมทุกกิจกรรม ในแต่ละชุดแล้ว เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากเพื่อนคนอื่น ๆ
3. แบบฝึกเสริมทักษะ เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะกับนักเรียนที่มีระดับความสามารถแตกต่างกัน จึงสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนกับนักเรียนได้โดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังง่ายต่อการผลิต ประหยัดและสามารถนำผลงานนักเรียนมาประกอบการตัดสินผลการเรียน ควรนำเนื้อหาเรื่องอื่น ๆ มาจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะอีก เพื่อช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
4. แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน สามารถนำไปใช้ในการฝึกทักษะในการสอนซ่อมเสริมได้
ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป
1. สำหรับการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ควรปรับรูปแบบสื่อการเรียนการสอนเป็นรูปแบบอื่น เช่น บทเรียนสำเร็จรูป หรือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
2. ครูอาจจัดทำสื่อเพื่อใช้เพิ่มเติมในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป