ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
การพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประ

การพัฒนาการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ได้สรุปผลการวิจัย ดังนี้

การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างแบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ

กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียน อุบลวิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาอุบลราชธานี เขต 1 ปีการศึกษา 2558 จำนวน 43 คน ได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple random sampling) โดยใช้วิธีการจับสลากเลือกห้องเรียน

เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน จำนวน 5 ชุด แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 24 แผน แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน 30 ข้อ

สถิติที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t

สรุปผลการวิจัย

1. แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.52/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 75/75

2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน ก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน พบว่า คะแนนเฉลี่ยของการทดสอบก่อนเรียนเท่ากับ 8.37 และคะแนนเฉลี่ยของการทดสอบหลังเรียนเท่ากับ 25.12 ดังนั้น คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

อภิปรายผลการวิจัย

1. จากการพัฒนาชุแบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน พบว่า แบบฝึกเสริมทักษะมีประสิทธิภาพ 84.52/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 75/75 ที่ตั้งไว้ ผลการศึกษาครั้งนี้น่าจะมีสาเหตุมาจากกิจกรรมการเรียนรู้ในแบบฝึกเสริมทักษะ มีความต่อเนื่องกันตามลำดับ จากง่ายไปหายาก การแบ่งแบบฝึกออกเป็นชุด ๆ เพื่อให้นักเรียน ได้เรียนรู้ง่ายขึ้น ผลทำให้แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน มีผลการพัฒนาที่ดีขึ้นสอดคล้องกับงานวิจัยของ จักรพงษ์ ทองสิงห์ (2549 : 58-59) ได้ทำการพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบจำนวนเต็ม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 การวิจัยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็มให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็มที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนบ้านบ่อหิน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 2 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ เรื่อง การบวกและการลบจำนวนเต็มสำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.44/81.11 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่องการบวกและการลบจำนวนเต็ม สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และงานวิจัยของ สุคนธ์ ยั่งยืน (2549 : บทคัดย่อ) ได้ทำการพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 การวิจัยครั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาแบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องเศษส่วน ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 และเพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน วิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง เศษส่วน ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะก่อนเรียนและหลังเรียน กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนดำรงสินอุทิศ สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอุบลราชธานี เขต 5 ที่ศึกษาในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2548 จำนวน 30 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องเศษส่วน ที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.67/83.25 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง เศษส่วน ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

2. ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่ได้รับการสอนโดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 มีคะแนนเฉลี่ยจากการทดสอบหลังเรียนสูงกว่าการทดสอบก่อนเรียน

ผลการเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ของนักเรียนที่ใช้แบบฝึกเสริมทักษะที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น พบว่ามีคะแนนเฉลี่ยหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ ระดับ .01 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่ตั้งไว้ โดยที่นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ทั้งนี้น่าจะมาจากสาเหตุ ดังนี้

2.1 การเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะได้เริ่มต้นจากเรื่องง่ายไปหายาก และดำเนินไปอย่างต่อเนื่องกัน ครูเป็นผู้จัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่ดีให้แก่นักเรียนก่อนจะได้รับการฝึกทักษะ มีการแสดงผลย้อนกลับ ทำให้นักเรียนเกิดความเข้าใจและจดจำเนื้อหาได้ดี

2.2 นักเรียนมีโอกาสพัฒนาตนเองตามศักยภาพทุกเวลา ทุกโอกาสเนื่องจากแบบฝึกเสริมทักษะที่สร้างขึ้นมีขั้นตอนการใช้ที่ง่าย สะดวก มีการตรวจให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนเป็นระยะทุกแบบฝึกสิ่งเหล่านี้จะช่วยให้นักเรียนอยากจะฝึกฝนมากขึ้น สอดคล้องกับผลการวิจัยเรื่องการให้ข้อมูลย้อนกลับควบคู่กับการเสริมแรงแบบต่อเนื่องในจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในวิชาคณิตศาสตร์ สอดคล้องกับ ปราณี จิณฤทธิ์ (2552 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยผลการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์และเจตคติทางการเรียนคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จังหวัดนครราชสีมา การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) พัฒนาแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์และ 3) เปรียบเทียบเจตคติต่อกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างก่อนและหลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ของโรงเรียนเคหะประชาสามัคคี จำนวน 31 คน ได้มาโดยการสุ่มแบบกลุ่ม ผลการวิจัยพบว่า 1) แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพ 81.21/82.99 2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังการใช้แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ 3) เจตคติของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และอยู่ในระดับมาก และงานวิจัยของ นัชนันท์ กรมขุนทด (2553 : บทคัดย่อ) ได้วิจัยการพัฒนาแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 การวิจัยครั้งนี้มีจุดมุ่งหมาย 1) เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ ของนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ก่อนและหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ 3) เพื่อศึกษาความคิดเห็นของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ กลุ่มตัวอย่างได้แก่นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6/2 โรงเรียนชุมชนบ้านคลองลาน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษากำแพงเพชร เขต 2 ปีการศึกษา 2551 จำนวน 33 คน ผลการวิจัยพบว่า แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหาสมการคณิตศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความเหมาะสมในระดับมากที่สุด และมีประสิทธิภาพ 78.80/75.93 ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน 75/75 และนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01

ข้อเสนอแนะ

ข้อเสนอแนะทั่วไป

1. ในการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะ สิ่งที่จำเป็นที่สุด ได้แก่ การเตรียมกิจกรรม การสอนของครูก่อนการนำแบบฝึกให้นักเรียนลงมือปฏิบัติ ดังนั้นกิจกรรมการสอนต้องสอดคล้องกับกิจกรรมในแบบฝึกทักษะ มีการยกตัวอย่างง่าย ๆ และพัฒนาเป็นโจทย์ที่ซับซ้อนขึ้น

2. ครูควรมีกิจกรรมนำเสนอผลงานของนักเรียน หลังจากการทำกิจกรรมทุกกิจกรรม ในแต่ละชุดแล้ว เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากเพื่อนคนอื่น ๆ

3. แบบฝึกเสริมทักษะ เป็นสื่อการเรียนการสอนที่เหมาะกับนักเรียนที่มีระดับความสามารถแตกต่างกัน จึงสามารถใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนกับนักเรียนได้โดยทั่วไป นอกจากนี้ ยังง่ายต่อการผลิต ประหยัดและสามารถนำผลงานนักเรียนมาประกอบการตัดสินผลการเรียน ควรนำเนื้อหาเรื่องอื่น ๆ มาจัดทำแบบฝึกเสริมทักษะอีก เพื่อช่วยให้การสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

4. แบบฝึกทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน สามารถนำไปใช้ในการฝึกทักษะในการสอนซ่อมเสริมได้

ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งต่อไป

1. สำหรับการพัฒนาทักษะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาระคน ของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ควรปรับรูปแบบสื่อการเรียนการสอนเป็นรูปแบบอื่น เช่น บทเรียนสำเร็จรูป หรือบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

2. ครูอาจจัดทำสื่อเพื่อใช้เพิ่มเติมในการพัฒนาทักษะกระบวนการทางคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาและทักษะการคำนวณ เรื่อง การแก้โจทย์ปัญหาการบวก ลบ คูณ หารระคน กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ในระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป

โพสต์โดย ครูพิช : [2 ก.ค. 2561 เวลา 01:40 น.]
อ่าน [3239] ไอพี : 122.155.35.239
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 53,286 ครั้ง
ความหมายและความสำคัญของการเกษตร
ความหมายและความสำคัญของการเกษตร

เปิดอ่าน 11,712 ครั้ง
ฉาวอีก! คลิปตำรวจไทย... "มาๆๆ ร้อยเดียวพอ"
ฉาวอีก! คลิปตำรวจไทย... "มาๆๆ ร้อยเดียวพอ"

เปิดอ่าน 25,893 ครั้ง
การเบิกจ่ายเงินวิทยฐานะ
การเบิกจ่ายเงินวิทยฐานะ

เปิดอ่าน 19,604 ครั้ง
ประเภทของระบบภาพกราฟิก
ประเภทของระบบภาพกราฟิก

เปิดอ่าน 11,681 ครั้ง
6 วิธี กินซูชิให้อร่อย
6 วิธี กินซูชิให้อร่อย

เปิดอ่าน 15,135 ครั้ง
คู่มือการเลือกผู้แทน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
คู่มือการเลือกผู้แทน อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา

เปิดอ่าน 13,266 ครั้ง
"คนไร้ตัวตน" รายการตีสิบ 25 ก.ย.2555
"คนไร้ตัวตน" รายการตีสิบ 25 ก.ย.2555

เปิดอ่าน 11,841 ครั้ง
ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทำไมเป็นกันมากขึ้น
ภูมิแพ้ทางเดินหายใจ ทำไมเป็นกันมากขึ้น

เปิดอ่าน 14,081 ครั้ง
6 เหตุผลธรรมดา แต่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คุณไม่รวยสักที
6 เหตุผลธรรมดา แต่เป็นเหตุผลหลักที่ทำให้คุณไม่รวยสักที

เปิดอ่าน 16,787 ครั้ง
หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามาตรา 36 ค.(2)
หลักเกณฑ์และวิธีการเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของบุคลากรทางการศึกษาอื่นตามาตรา 36 ค.(2)

เปิดอ่าน 5,541 ครั้ง
วันเกิด...บอกนิสัยการทำงาน
วันเกิด...บอกนิสัยการทำงาน

เปิดอ่าน 14,299 ครั้ง
ชมคลิปยอดฮิต"เด็กพี่สาวร้องไห้โฮ ไม่อยากให้น้อง"โต"
ชมคลิปยอดฮิต"เด็กพี่สาวร้องไห้โฮ ไม่อยากให้น้อง"โต"

เปิดอ่าน 12,928 ครั้ง
อะไร? อยู่ใน Wi-Fi
อะไร? อยู่ใน Wi-Fi

เปิดอ่าน 11,279 ครั้ง
"เลี้ยง"ต้องแบบไหน? "ลูกยุคดิจิตอล" ข้ามวิกฤต..สู่ไทย 4.0
"เลี้ยง"ต้องแบบไหน? "ลูกยุคดิจิตอล" ข้ามวิกฤต..สู่ไทย 4.0

เปิดอ่าน 19,029 ครั้ง
เรื่องของกลิ่นปาก
เรื่องของกลิ่นปาก

เปิดอ่าน 9,935 ครั้ง
ตรวจสอบคุณภาพยางรถ
ตรวจสอบคุณภาพยางรถ
เปิดอ่าน 40,328 ครั้ง
ปีอธิกสุรทิน
ปีอธิกสุรทิน
เปิดอ่าน 31,818 ครั้ง
คำศัพท์คุ้นหูที่แปลว่า “ครู” เหมือนกัน แต่ใช้ไม่เหมือนกัน มาดูกันว่า…มีอะไรบ้าง
คำศัพท์คุ้นหูที่แปลว่า “ครู” เหมือนกัน แต่ใช้ไม่เหมือนกัน มาดูกันว่า…มีอะไรบ้าง
เปิดอ่าน 3,291 ครั้ง
6 จุดที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังลับในบ้าน ที่ต้องเร่งกำจัดก่อนจะบั่นทอนชีวิตทุกวัน
6 จุดที่เป็นแหล่งกำเนิดพลังลับในบ้าน ที่ต้องเร่งกำจัดก่อนจะบั่นทอนชีวิตทุกวัน
เปิดอ่าน 8,277 ครั้ง
คนอดนอนกลับยิ่งทำให้กินอาหารจุขึ้น
คนอดนอนกลับยิ่งทำให้กินอาหารจุขึ้น

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ