ชื่อเรื่อง รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้แบบฝึก ทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้
ผู้วิจัย นางไกรษร คงยืน
ตำแหน่ง ครู อันดับ คศ.2 วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
โรงเรียน โรงเรียนรัตนบุรี สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33
ปีการศึกษา 2560
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ 1) เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 3) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนรัตนบุรี ตำบลรัตนบุรี อำเภอรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ จำนวน 38 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใช้เวลาในการทดลอง 16 ชั่วโมง (ไม่รวมเวลาที่ใช้ในการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ จำนวน 8 แผน แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน จำนวน 8 เล่ม แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก 1 ฉบับ จำนวน 40 ข้อ และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ จำนวน 16 ข้อ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) ประสิทธิภาพของชุดการเรียนคณิตศาสตร์ด้วยวิธี E1/E2 และเปรียบเทียบคะแนนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยการทดสอบ t-test (Dependent Samples) ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. การหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่สร้างขึ้นมีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.62/86.47 ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ตั้งไว้ คือ 80/80
2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. การวิเคราะห์ค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ วิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเท่ากับ 0.82 แสดงว่า ผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนรู้เพิ่มขึ้น ร้อยละ 82.00
4. ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนวิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุด
โดยสรุปว่า รายงานการศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาฟิสิกส์ 3 เรื่อง เสียงและการได้ยิน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนรัตนบุรี จังหวัดสุรินทร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนและนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการแก้โจทย์ปัญหา ตามวัฏจักรการสืบเสาะหาความรู้ ในระดับมากที่สุด