ค้นหาทุกอย่างในเว็บครูบ้านนอก :
ชุมชนครู บุคลากรทางการศึกษา และนักเรียน แหล่งความรู้สำหรับครู นักเรียน ข่าวการศึกษา ห้องสมุดความรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ และความรู้ทั่วไป เผยแพร่ผลงานวิชาการ ที่นี่


ค้นหากระทู้
ตั้งกระทู้คำถามใหม่ กลับหน้าที่แล้ว
 
ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้ แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษา

เรื่อง ผลการพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้

แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษา

ปีที่ 3 โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23

ผู้ศึกษา นายนพรัตน์ อำพล

ปีการศึกษา 2559 - 2560

สถานศึกษา โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23

บทคัดย่อ

การศึกษาครั้งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80 และเพื่อศึกษาผลจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ดังนี้ 1) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนก่อนและหลังการจัดการเรียนรู้ 2) ศึกษาดัชนีประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้ และ 3) ศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้

กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2560 โรงเรียนโรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม จำนวน 36 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (purposive sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาประกอบด้วย 1) แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ จำนวน 16 แผน และแบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค จำนวน 8 เล่ม 2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้สอนสร้างขึ้น มีค่าความเชื่อมั่นท่ากับ 0.78 ( KR ) และ 3) แบบวัดความพึงพอใจในการเรียนรู้ที่ผู้สอนสร้างขึ้นมีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.5153 ถึง 0.8912 มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.94 ( = coefficient) สถิติที่ใช้ในการศึกษาคือ การหาค่าร้อยละ การหาค่าเฉลี่ย ( ) การทดสอบความแตกต่างของค่าเฉลี่ยโดยใช้สถิติการทดสอบค่าที (t-test dependent sample) และการทดสอบสมมติฐานโดยการหาค่าดัชนีประสิทธิผล ผลการศึกษาพบว่า

1. การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าประสิทธิภาพเท่ากับ 86.92 / 84.51 ผ่านตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้คือ 80 / 80

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนได้รับการจัด การเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

3. การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.7876

4. นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนรู้วิชาภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมาก

ความสำคัญของปัญหา

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มีจุดเน้นที่การเปลี่ยนกระบวนทัศน์ในเรื่องของจุดมุ่งหมาย สาระของการสอน กระบวนการสอน การดูแลมาตรฐานวิชาชีพ รูปแบบการบริหารจัดการ การกำกับและการดูแลคุณภาพ ซึ่งเปลี่ยนไปจากแนวปฏิบัติเดิมอย่างมาก กระบวนทัศน์ประการสำคัญ คือเรื่องของการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญมากขึ้น ถือว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถที่จะพัฒนาได้ จะต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตัวเองได้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาที่เน้นผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด ( มาตรา 22 ) ครูต้องสร้างความรู้ด้วยตนเอง รวมทั้งมีความสามารถทางด้านวิจัย ( มาตรา 30 ) รู้จักใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ตามธรรมชาติและเต็มศักยภาพ จัดเนื้อหาสาระ กิจกรรม โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างผู้เรียน ฝึกทักษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และประยุกต์ความรู้มาใช้เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหา ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ผสมผสานความรู้อย่างสมดุล จัดสภาพผู้เรียนให้ได้เรียนรู้อย่างรอบด้านและประสานความร่วมมือ ครูจะต้องเปลี่ยนแปลงบทบาทจากการเป็นผู้ชี้นำ ผู้ถ่ายทอดความรู้ ไปเป็นผู้ช่วยเหลือ ส่งเสริมและสนับสนุนผู้เรียนในการแสวงหาความรู้จากสื่อและแหล่งการเรียนรู้ต่างๆ (สำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. 2552 : 21)

ในการปฏิรูปการจัดการเรียนรู้ ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 มุ่งปรับกระบวนการจัดการเรียนรู้ให้เอื้อต่อการพัฒนาขีดความสามารถของผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ ตามจุดประสงค์ของแต่ละระดับและประเภทของการศึกษา โดยเน้นความสำคัญทั้งด้านความรู้ ความคิด ความสามารถ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ ให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกปฏิบัติ ให้ทำได้ คิดเป็น ทำเป็น จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกสถานที่ ทุกเวลา แก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการ และเรียนรู้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 3) เหตุผลดังกล่าว หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงได้ถูกพัฒนาขึ้น เจตนารมณ์ของหลักสูตรทั้ง 2 ฉบับนั้น ได้กำหนดสาระการเรียนรู้ซึ่งประกอบด้วยองค์ความรู้หรือทักษะกระบวนการเรียนรู้ และคุณลักษณะหรือค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมของผู้เรียนเป็น 8 กลุ่มสาระ คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สุขศึกษาและพลศึกษา ศิลปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ ให้สอดคล้องกับมาตร 23 ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 คือการจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้บูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับการศึกษาในเรื่องต่อไปนี้ 1) ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่ ครอบครัว ชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทย และระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข 2) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการการบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน 3) ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปวัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทยและการประยุกต์ใช้ภูมิปัญญา 4) ความรู้และทักษะคณิตศาสตร์และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง และ 5) ความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวิตอย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ. 2551 : 5) ดังนั้นสาระการเรียนรู้ภาษาไทยจึงเป็นสาระการเรียนรู้ที่จัดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 โดยเน้นการใช้ภาษาไทยอย่างถูกต้อง ตามนัยแห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542

ภาษาไทยถือเป็นระบบสัญลักษณ์ที่มีความซับซ้อน ดังนั้นการจัดประสบการณ์ให้เหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียนเพื่อให้การเรียนรู้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและผู้เรียนจะได้ใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ในด้านอื่นๆ ต่อไปจึงเป็นเรื่องสำคัญ กฎเกณฑ์ทางภาษาไทยหรือหลักการใช้ภาษาไทยเป็นสิ่งจำเป็นที่ผู้ใช้ภาษาจะต้องเรียนรู้และใช้ได้ถูกต้อง (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2552 : 8) หลักภาษาไทยจึงถือเป็นหลักเกณฑ์ที่จะช่วยควบคุมคนไทยให้ใช้ภาษาไทยเป็นแบบแผนเดียวกันทั่วประเทศ และการที่ผู้ใช้ภาษาพยายามใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องตามหลักภาษา จะเป็นการช่วยอนุรักษ์ภาษาไทยให้ยืนยงคงเอกลักษณ์ของชาติไทยสืบต่อไป นอกจากนี้การสอนหลักภาษาไทยยังมีความสำคัญและมีประโยชน์ช่วยให้นักเรียนเห็นความสำคัญของภาษาไทย และเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีหลักภาษาไทย เพื่อเป็นระเบียบแบบแผนให้คนไทยใช้ภาษาไทยได้ถูกต้องเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทั้งประเทศ ช่วยให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาษาไทยเป็นอย่างดี และสามารถนำความรู้ที่ได้เรียนแล้วไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง ถือได้ว่าหลักภาษาไทยมีความสำคัญและมีประโยชน์ทั้งต่อตนเองและต่อประเทศชาติ การสอนหลักภาษาไทยจึงควรช่วยให้นักเรียนเห็นความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย มีความรู้ความเข้าใจเรื่องกฎเกณฑ์ทางภาษาที่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับทักษะการใช้ภาษาไทย (สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. 2538 : 5)

อย่างไรก็ตามถ้อยคำที่เราใช้สื่อสารกันนั้น มักจะประกอบไปด้วยกฎเกณฑ์ทางภาษาซึ่งถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นที่จะช่วยให้ผู้เรียนใช้ภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ผู้เรียนควรทบทวนความรู้เรื่องกฎเกณฑ์ทางภาษาไทยอย่างสม่ำเสมอ (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2552 : 45) ผลการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาไทยพบว่านักเรียนส่วนใหญ่ไม่ชอบเรียนกฎเกณฑ์ภาษาไทย เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องที่เข้าใจยากน่าเบื่อหน่าย นักเรียนมักมีทัศนคติไม่ดีต่อวิชาหลักภาษาไทย ทำให้ไม่สนใจเรียนและเกิดผลเสียต่อการเรียน จึงเป็นเหตุให้การใช้ภาษาไทยของนักเรียนผิดพลาดและบกพร่องมากยิ่งขึ้น (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา. 2552 : 7) ซึ่งสอดคล้องกับรายงานผลการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยระดับประเทศ ปีการศึกษา 2558 ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าคะแนนเฉลี่ยในภาพรวมปรับปรุงเฉลี่ยร้อยละ 17.93 พอใช้ เฉลี่ยร้อยละ 64.37 และดี เฉลี่ยร้อยละ 17.71 เมื่อวิเคราะห์ตามสาระทั้ง 5 สาระ พบว่า สาระการอ่านเฉลี่ยร้อยละ 53.56 สาระการเขียนเฉลี่ยร้อยละ 56.93 สาระการฟัง การดูและการพูดเฉลี่ยร้อยละ 45.31 สาระหลักการใช้ภาษา เฉลี่ยร้อยละ 39.19 และสาระวรรณคดีและวรรณกรรม เฉลี่ยร้อยละ 46.30 เห็นได้ว่าคะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาภาษาไทยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ระดับประเทศ ปีการศึกษา 2550 สาระที่มีค่าเฉลี่ยสูงสุดคือสาระการเขียน ส่วนสาระที่มีคะแนนเฉลี่ยน้อยที่สุด คือสาระหลักการใช้ภาษา (โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม. 2559 : 4) สาระหลักภาษาไทยจึงควรได้รับการพัฒนาให้มีผลสัมฤทธิ์สูงขึ้น อนึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จในการเรียนหลักภาษาไทยคือ นักเรียนต้องฝึกปฏิบัติเป็นประจำ การฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอจะทำให้นักเรียนเก่งได้ การเรียนภาษาไทยนั้นนอกจากเรียนให้เข้าใจแล้ว ก็จะต้องให้เกิดทักษะด้วยจึงจะเกิดประโยชน์ ดังนั้น การจัดการเรียนรู้โดยการพัฒนาแบบฝึกทักษะเพื่อปรับปรุงผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จึงเป็นวิธีการจัดการเรียนรู้วิธีหนึ่งที่เป็นส่วนเพิ่มเติมหรือเสริมให้นักเรียนฝึกปฏิบัติเพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจ และมีทักษะเพิ่มขึ้น การให้นักเรียนได้ทำแบบฝึกทักษะมาก ๆ ช่วยให้มีพัฒนาการทางด้านเนื้อหาวิชาได้ดีขึ้น (ประไพ พูลภาพ. 2551 : 113)

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานั้น ผู้สอนจึงสนใจพัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3เพื่อพัฒนานวัตกรรมทางการศึกษา พัฒนากระบวนการเรียนรู้ และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 ต่อไป

ความมุ่งหมายของการศึกษา

ในการศึกษาครั้งนี้ ผู้สอนมีความมุ่งหมายของการศึกษา ดังนี้

1. เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้ได้ประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80

2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ก่อนและหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

3. เพื่อหาดัชนีประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3

4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค

สมมติฐานของการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้ ผู้สอนตั้งสมมุติฐานของการศึกษาไว้ดังนี้

1. การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80

2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังได้รับการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 สูงกว่าก่อนได้รับการจัดการเรียนรู้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.01

3. ดัชนีประสิทธิผลการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีความก้าวหน้าตั้งแต่ร้อยละ 70

4. นักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 อยู่ในระดับมากขึ้นไป

ความสำคัญของการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้ได้แผนการจัดการเรียนรู้ตามแนวการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ได้พัฒนาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ได้รู้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนโรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 ซึ่งจะเป็นแนวทางแก่ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน เป็นพื้นฐานให้นักเรียนเรียนวิชาอื่นได้ดี สามารถใช้ภาษาไทยเป็นเครื่องมือในการศึกษาและใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

ขอบเขตของการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้ ผู้สอนได้กำหนดขอบเขตในการศึกษา ดังนี้

1. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง

1.1 ประชากร

ประชากรที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 ปีการศึกษา 2560 จำนวนนักเรียน 265 คน

1.2 กลุ่มตัวอย่าง

ผู้สอนเลือกกลุ่มตัวอย่างจากประชากรแบบเจาะจงนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/4 ปีการศึกษา 2560 ซึ่งมีนักเรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนทั้งกลุ่มอ่อน ปานกลาง และเก่ง จำนวน 36 คน

2. เนื้อหา

เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา คือ สาระหลักการใช้ภาษา ขอบข่ายเนื้อหาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา โดยแบ่งเนื้อหา

ออกเป็นหน่วยย่อยดังนี้

1) ส่วนประกอบของประโยค

2) ประโยคสามัญ

3) ประโยคซ้อน

4) ประโยครวม

5) ประโยคซับซ้อน

6) รูปของประโยค

7) เจตนาของประโยค

8) ประโยคบกพร่อง

3. ระยะเวลา

ระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษา คือ ปีการศึกษา 2559 ถึง ปีการศึกษา 2560

กรอบแนวคิดของการศึกษา

การศึกษาครั้งนี้เป็นการพัฒนาการจัดการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและศึกษาความพึงพอใจในการเรียนวิชาภาษาไทย เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา คือ สาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา ซึ่งแบ่งออกเป็น 16 แผนการจัดการเรียนรู้ ผนวกกับแนวคิดการสร้างแบบฝึกทักษะและการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ รวมทั้งแนวคิดเกี่ยวกับการศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ของผู้เรียน เมื่อประสานแนวคิดดังกล่าวจึงได้กรอบแนวคิดในการศึกษา ดังนี้

ตัวแปรต้น

นิยามศัพท์เฉพาะ

1. การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การจัดทำรายละเอียดในการจัดการเรียนรู้ ไว้ล่วงหน้าโดยการวิเคราะห์ หลักสูตร วิธีการจัดการเรียนรู้ จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 โดยผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญ และผ่านการหาคุณภาพ นำไปใช้ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาทักษะอย่างแท้จริง

2. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง แผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้สอนสร้างขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ สาระที่ 4 หลักการใช้ภาษา

3. แบบฝึกทักษะ หมายถึง เครื่องมือฝึกทักษะในการเรียนวิชาภาษาไทย ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้สอนสร้างขึ้นสำหรับฝึกปฏิบัติระหว่างการจัดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ โดยมีรายละเอียดสอดคล้องกับเนื้อหาในบทเรียน และใช้เวลาในการฝึกทักษะครั้งละประมาณ 40 นาที

4. ประสิทธิภาพของการจัดการเรียนรู้ หมายถึง การจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน 80 / 80

4.1 80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนนด้านกระบวนการ เป็นคะแนนเฉลี่ยที่ได้จากการทดสอบย่อยหลังการทำแบบฝึกทักษะ

4.2 80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละ 80 ของคะแนนเฉลี่ยจากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนของนักเรียนทั้งหมด

5. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ของนักเรียน ซึ่งประเมินจากคะแนนที่ได้จากการทำแบบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้สอนสร้างขึ้น

6. ดัชนีประสิทธิผล หมายถึง ตัวเลขที่แสดงถึงความก้าวหน้าในการเรียนของนักเรียน ที่เรียนวิชาภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้สอนสร้างขึ้นโดยเปรียบเทียบคะแนนที่เพิ่มขึ้นจากคะแนนทดสอบก่อนเรียนกับคะแนนที่ได้จากการทดสอบหลังเรียน

7. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ หมายถึง ความรู้สึกชื่นชอบหรือพอใจของนักเรียนในการเรียนรู้วิชาภาษาไทย โดยใช้แบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผู้สอนสร้างขึ้นซึ่งเป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า(rating scale) 5 ระดับ คือ มากที่สุด มาก ปานกลาง น้อย และน้อยที่สุด ตามลำดับ

8. นักเรียน หมายถึง นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23 ปีการศึกษา 2560

รายชื่อผู้เชี่ยวชาญ

1. การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา การใช้ภาษา และความตรงเชิงโครงสร้างของแผนการจัดการเรียนรู้และแบบฝึกทักษะ

ผู้ศึกษาได้นำแผนการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทยโดยใช้แบบฝึกทักษะ และแบบฝึกทักษะ ชุด การวิเคราะห์และสังเคราะห์ประโยค สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 5 ท่านเพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา การใช้ภาษา และความตรงเชิงโครงสร้างของแผนและแบบฝึกทักษะ โดยมีเกณฑ์ในการเลือกผู้เชี่ยวชาญ คือ 1) เป็นศึกษานิเทศก์ และ/หรือเป็นผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาโทสาขาหลักสูตรและการสอน 2) เป็นครูผู้มีวิทยฐานะชำนาญการพิเศษด้านการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทยระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น 3) เป็นผู้อำนวยการโรงเรียนหรือรองผู้อำนวยการโรงเรียนผู้รับผิดชอบกลุ่มบริหารงานวิชาการ และ 4) เป็นผู้ยินดีให้ความร่วมมือ ดังรายชื่อต่อไปนี้

1. นายสนธยา หลักทอง ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2

2. นางสาวอัมพิกา พรหมพิทักษ์กุล ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ

กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23

3. ดร.นันทนา ลีลาชัย ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนมัธยมศึกษาเทศบาล 3 “ยุติธรรมวิทยา” สำนักการศึกษาเทศบาลนครสกลนคร กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น

4. ดร.ภิญโญ ทองเหลา ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนส่องดาววิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23

5. นายตวงทรัพย์ ไชยทองศรี ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนกุสุมาลย์วิทยาคม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 23

2. การตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา พิจารณาความสอดคล้องระหว่างคำถามกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด

ผู้ศึกษาได้นำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและแบบวัดความพึงพอใจที่สร้างขึ้นให้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 3 ท่านซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการเรียนรู้วิชาภาษาไทย และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการวัดผลและประเมินผล เพื่อตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา พิจารณาความสอดคล้องระหว่างคำถามกับพฤติกรรมที่ต้องการวัด ลักษณะการใช้คำถาม ตัวเลือก ตัวลวง และความถูกต้องด้านภาษาแล้วนำมาปรับปรุงแก้ไขและตัดข้อสอบที่ไม่เหมาะสมออก คัดเลือกข้อสอบให้เหลือข้อสอบที่สมบูรณ์ ดังรายชื่อต่อไปนี้

1. ดร. ภิญโญ ทองเหลา ตำแหน่งรองผู้อำนวยการสถานศึกษา วิทยฐานะรองผู้อำนวยการชำนาญการพิเศษ โรงเรียนส่องดาววิทยาคม

2. นางทวีรัตน์ ภวภูตานนท์ ตำแหน่งครู วิทยฐานะครูชำนาญการพิเศษ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนดงเย็นพิทยาคาร สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 20

3. นายสนธยา หลักทอง ตำแหน่งศึกษานิเทศก์ วิทยฐานะศึกษานิเทศก์ชำนาญการพิเศษ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต 2

โพสต์โดย น.นพรัตน์ : [25 มิ.ย. 2561 เวลา 18:50 น.]
อ่าน [4993] ไอพี : 49.229.72.200
หากข้อความนี้ไม่เหมาะสม คลิก คลิกปุ่มนี้ หากเห็นว่าข้อความนี้ไม่เหมาะสม
 
 

โปรดอ่านกฎกติกาก่อนแสดงความเห็น
1. ข้อความของท่านจะขึ้นแสดงโดยอัตโนมัติทันทีที่ได้รับข้อมูล
2.
ห้ามโพสต์ ข้อความยั่วยุให้เกิดความรุนแรงทางสังคม ข้อความที่ก่อให้เกิดความเสียหายและเสื่อมเสียต่อบุคคลที่สาม, เบอร์โทรศัพท์,
รูปภาพที่ไม่เหมาะสมต่อเยาวชนหรือภาพลามกอนาจาร หรือกระทบถึงสถาบันอันเป็นที่เคารพ
ขอให้ผู้ตั้งกระทู้รับผิดชอบตัวเอง
และรับผิดชอบต่อสังคม ถ้ารูปภาพ หรือข้อความใดส่งผลกระทบต่อบุคคลอื่น ทีมงานพร้อมจะส่งรายละเอียดให้เจ้าหน้าที่
เพื่อตามจับตัวผู้กระทำผิดต่อไป

3.
สมาชิกที่โพสต์สิ่งเหล่านี้ อาจถูกดำเนินคดีทางกฎหมายจากผู้เสียหายได้
4. ไม่อนุญาตให้มีการโฆษณาสินค้าใด ๆ ทั้งสิ้น ทั้งทางตรงและทางอ้อม
5. ทุกความคิดเห็นเป็นข้อความที่ทางผู้เยี่ยมชมเข้ามาร่วมตั้งกระทู้ในเว็บไซต์ ทางเว็บไซต์ kroobannok.com ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ทั้งสิ้น
6. ทางทีมงานขอสงวนสิทธิ์ในการลบกระทู้ที่ไม่เหมาะสมได้ทันที โดยไม่ต้องมีการชี้แจงเหตุผลใดๆ ต่อเจ้าของความเห็นนั้นทั้งสิ้น

7. หากพบเห็นรูปภาพ หรือข้อความที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งมาที่อีเมล์ kornkham@hotmail.com เพื่อทำการลบออกจากระบบต่อไป


 ** พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.๒๕๕๐**

ขออภัยในความไม่สะดวก เนื่องจากเราประสบปัญหา
มีผู้โพสต์ข้อความที่หมิ่นเหม่และไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก
ครูบ้านนอกดอทคอมจึงขอความร่วมมือสมาชิก
กรุณาเข้าสู่ระบบก่อนแสดงความเห็นครับ


  

สมัครสมาชิกใหม่
 

 

Advertisement

≡ เรื่องน่าอ่าน/สาระน่ารู้ ≡

เปิดอ่าน 15,635 ครั้ง
โรคฉี่หนู เชื้อร้ายที่มากับน้ำท่วม
โรคฉี่หนู เชื้อร้ายที่มากับน้ำท่วม

เปิดอ่าน 12,101 ครั้ง
ข้อคิดก่อนเลี้ยงสุนัข
ข้อคิดก่อนเลี้ยงสุนัข

เปิดอ่าน 12,459 ครั้ง
บัญญัติ 10 ประการอำพรางหุ่น
บัญญัติ 10 ประการอำพรางหุ่น

เปิดอ่าน 64,945 ครั้ง
4 พฤติกรรม “ผู้นำ” ที่ดี
4 พฤติกรรม “ผู้นำ” ที่ดี

เปิดอ่าน 14,698 ครั้ง
10 อาหารดำ กินแล้วดีต่อสุขภาพ
10 อาหารดำ กินแล้วดีต่อสุขภาพ

เปิดอ่าน 19,323 ครั้ง
เตือนภัย! แก๊งตบทรัพย์หลอกขับรถชนเรียกค่าเสียหาย
เตือนภัย! แก๊งตบทรัพย์หลอกขับรถชนเรียกค่าเสียหาย

เปิดอ่าน 2,281 ครั้ง
10 ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด
10 ผักและผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงที่สุด

เปิดอ่าน 18,602 ครั้ง
วีดิทัศน์ประกอบการสอนคณิตศาสตร์ชั้น ป.5 โดย สสวท.
วีดิทัศน์ประกอบการสอนคณิตศาสตร์ชั้น ป.5 โดย สสวท.

เปิดอ่าน 6,542 ครั้ง
ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย : สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา EP. 1
ระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัย : สรุปให้รู้ตามทันโลกการศึกษา EP. 1

เปิดอ่าน 9,595 ครั้ง
คุณครูเคยดูหรือยัง : การเรียนการสอนในสิงคโปร์
คุณครูเคยดูหรือยัง : การเรียนการสอนในสิงคโปร์

เปิดอ่าน 25,979 ครั้ง
วิจัยชี้ 22ตำหรับอาหารไทยต้านโรคมะเร็ง
วิจัยชี้ 22ตำหรับอาหารไทยต้านโรคมะเร็ง

เปิดอ่าน 12,489 ครั้ง
ปัจจัยฉุดรั้งการศึกษา (1)
ปัจจัยฉุดรั้งการศึกษา (1)

เปิดอ่าน 16,178 ครั้ง
ฮือฮา! ครูสาวสุดทุ่ม ตัดชุดบอดี้สูททั้งตัวสกรีนภาพเหมือนอวัยวะภายในร่างกายสอนวิชากายวิภาค
ฮือฮา! ครูสาวสุดทุ่ม ตัดชุดบอดี้สูททั้งตัวสกรีนภาพเหมือนอวัยวะภายในร่างกายสอนวิชากายวิภาค

เปิดอ่าน 25,642 ครั้ง
"สธ."เตือนอย่าให้เด็กกิน "คลอโรฟิลล์"
"สธ."เตือนอย่าให้เด็กกิน "คลอโรฟิลล์"

เปิดอ่าน 13,924 ครั้ง
"ครู" คือ "ปูชนียบุคคล" หรือ "ผู้แจวเรือจ้าง"
"ครู" คือ "ปูชนียบุคคล" หรือ "ผู้แจวเรือจ้าง"

เปิดอ่าน 201,587 ครั้ง
ธรรมคุณ 6
ธรรมคุณ 6
เปิดอ่าน 11,373 ครั้ง
ไก่ทาสีย้อมผ้า ขายตามตลาดสด ระบาดหนักในภาคใต้
ไก่ทาสีย้อมผ้า ขายตามตลาดสด ระบาดหนักในภาคใต้
เปิดอ่าน 13,148 ครั้ง
คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
คู่มือการใช้งานบัตรเครดิตราชการ
เปิดอ่าน 26,407 ครั้ง
โหมดสี
โหมดสี
เปิดอ่าน 61,623 ครั้ง
ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร?
ลมเกิดขึ้นได้อย่างไร?

รายการหลัก

หน้าแรก
ข่าว/บทความ
สมุดเยี่ยม
กระดานสนทนา
เว็บลิงค์
ผู้จัดทำเว็บครูบ้านนอก
ข้อมูลบุคคล
ภาพกิจกรรม
ผู้สนับสนุน

สมาชิก

เข้าสู่ระบบ
คุณครูต้องรู้ไว้
รวมแบบฟอร์มต่างๆ

เว็บน่าสนใจ

เว็บไซต์ สพฐ.
กระทรวงศึกษาธิการ
เครื่องมือวิทยาศาสตร์
เครื่องมือวัด
เครื่องมืออุตสาหกรรม
เกมส์
แหล่งรวมเกมส์

แหล่งรวมเกมส์
สพป.มุกดาหาร



 เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ มากมาย
เกมส์ รวมเกมส์สนุกๆ คลายเครียด

เกมส์ รวมเกมส์ เกมส์แข่งรถ เกมส์ต่อสู้ เกมส์ภาษา เกมส์วางระเบิด เกมส์แต่งตัว เกมส์ท่องเที่ยว เกมส์หมากฮอส เกมส์ผจญภัย เกมส์เต้น เกมส์รถ เกมส์ดนตรี เกมส์ขายของ เกมส์ฝึกสมอง เกมส์เด็กๆ เกมส์ปลูกผัก เกมส์การ์ด เกมส์จับผิดภาพ เกมส์ตลก เกมส์ตัดผม เกมส์ก้านกล้วย เกมส์ทําอาหาร เกมส์เลี้ยงสัตว์ เกมส์ผี เกมส์จับคู่ เกมส์กีฬา เกมส์เศรษฐี เกมส์ฝึกทักษะ เกมส์วางแผน เกมส์จีบหนุ่ม เกมส์มาริโอ เกมส์ระบายสี เกมส์จีบสาว เกมส์เบ็นเท็น เกมส์ยิง เกมส์ยาน เกมส์สร้างเมือง เกมส์มันส์ๆ เกมส์แต่งบ้าน เกมส์ความรู้
      kroobannok.com

© 2000-2020 Kroobannok.com  
All rights reserved.


Design by : kroobannok.com


ครูบ้านนอกดอทคอม
การจัดอันดับของ Truehits Web Directory

วิธีนำแบนเนอร์ของครูบ้านนอก.คอมไปแปะในเว็บท่าน บันทึกภาพแบนเนอร์นี้และลิงค์มาที่เราครับ (มีแบนเนอร์ 2 แบบ)
 

ครูบ้านนอกดอทคอม เว็บไซต์ของครูตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่หวังเพียง ใช้เป็นช่องทางในการสื่อสาร แลกเปลี่ยน เพิ่มพูนความรู้ และให้ข่าวสาร ที่ทันสมัยต่อเหตุการณ์แก่คุณครู ผู้ปฏิบัติงานในทุกพื้นที่ของประเทศไทย เพื่อความเจริญงอกงามในปัญญา และเจริญก้าวหน้าในวิชาชีพ

เว็บนี้ถือกำเนิดเมื่อ 5 มกราคม 2548

Email : kornkham@hotmail.com
Tel : 096-7158383

สนใจสนับสนุนเรา โดยลงโฆษณา
คลิกดูรายละเอียดที่นี่ครับ