ชื่อเรื่อง การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือนิทานประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย
โดย อรนุช เพียรศรีวัชรา
ปีการวิจัย 2559
บทคัดย่อ
การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือนิทานประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โรงเรียนเทศบาล ๑ (สังขวิทย์) สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครตรัง การวิจัยครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อศึกษาข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุด หรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2)เพื่อสร้างและพัฒนาหนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 3) หาดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุด หรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 4) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่3 ที่จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูนโดยใช้นิทานพื้นบ้านภาคใต้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย 5) ประเมินความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ภาคเรียนที่ 2 ปีการวิจัย 2559 โรงเรียนเทศบาล ๑ (สังขวิทย์) สังกัดสำนักการศึกษา เทศบาลนครตรัง มีจำนวนนักเรียนทั้งสิ้น 39 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ 1) แบบสอบถามความต้องการของนักเรียนในการพัฒนาหนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 2) หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 10 เล่ม 3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพื่อประเมินความรู้ของนักเรียนก่อนและหลังการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุด หรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 แบบปรนัยชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 30 ข้อ 30 คะแนน และแบบอัตนัย จำนวน 2 ข้อ ข้อละ 10 คะแนน รวมเป็น 50 คะแนน 4) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน จำนวน 10 ข้อ และสถิติที่ใช้ในการวิจัยได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบค่า t-test
ผลการวิจัยพบว่า
1 ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุด หรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทยสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า
1) นักเรียนเห็นความสำคัญและคุณค่าของหนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3
2) นักเรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนทุกขั้นตอน
3) นักเรียนกล้าแสดงออก สามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง ชัดเจน
4) นักเรียนรู้จักช่วยเหลือเกื้อกูลกัน รู้จักการทำงานเป็นกลุ่ม มีความสามัคคีกัน
5) นักเรียนเรียนรู้ได้อย่างมีความสุข
2. ประสิทธิภาพของหนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 พบว่า คะแนนการทดสอบย่อยและการทดสอบหลังเรียน (9 คน) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 71.20/70.67 คะแนนการทดสอบย่อยและการทดสอบหลังเรียน (30 คน) มีประสิทธิภาพ 82.19/80.90 และคะแนนการทดสอบกับกลุ่มตัวอย่าง (39 คน) มีประสิทธิภาพเท่ากับ 85.40/84.23 ซึ้งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
3. คะแนนค่าดัชนีประสิทธิผลของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีค่าเท่ากับ 0.7979 ซึ่งหมายความว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าทางการเรียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 79.79
4. คะแนนเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนพบว่า หนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 มีคะแนนหลังเรียนเพิ่มขึ้นกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
5. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ที่มีต่อหนังสือส่งเสริมการอ่านประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย มีคะแนนเฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมาก ("X" ̅= 4.48 ,S.D.= 0.64)
กิตติกรรมประกาศ
รายงานผลการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือรูปแบบจิกซอว์โดยใช้หนังสือนิทานประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ฉบับนี้สำเร็จเป็นรูปเล่มขึ้นมาได้ด้วยความช่วยเหลือจากบุคคลหลายฝ่ายซึ่งผู้วิจัยขอกราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงไว้ ณ โอกาสนี้
ขอขอบพระคุณผู้เชี่ยวชาญทางด้านหลักสูตร การวัดผลและประเมินผลที่กรุณาเป็นผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยค้นคว้าในครั้งนี้
ขอขอบพระคุณผู้อำนวยการโรงเรียนเทศบาล ๑ (สังขวิทย์) คณะครูและนักเรียนประถมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนเทศบาล ๑ (สังขวิทย์)ที่ช่วยเหลือในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะการเป็นกลุ่มประชากรในการใช้หนังสือนิทานประกอบภาพการ์ตูน ชุดหรรษากับนิทานพื้นบ้านภาคใต้ เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียนภาษาไทย สำหรับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ในการทดลองครั้งนี้จนรายงานการวิจัยเล่มนี้สำเร็จลงด้วยดีและมีคุณภาพ
จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า รายงานการวิจัยฉบับนี้คงจะเป็นประโยชน์สำหรับครู กลุ่มสาระ การเรียนรู้ภาษาไทยและครูกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่นๆ ที่อาจจะนำไปเป็นแนวทางในการพัฒนาการเรียนการสอนให้สามารถจัดการเรียนการสอนได้อย่างมีคุณภาพตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรการวิจัยขั้นพื้นฐานต่อไป
อรนุช เพียรศรีวัชรา