ชื่อเรื่อง รายงานการพัฒนาผลการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและ
การแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านโคกสง่า
ผู้วิจัย นายสายชล จุลศรี
บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) หาประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ E1/E2 = 80/80 (2) พัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ โดยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (3) ศึกษาค่าดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD (4) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
กลุ่มเป้าหมาย คือ กลุ่มเป้าหมายในการดำเนินการวิจัยในครั้งนี้ เป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Random Sampling) โรงเรียนบ้านโคกสง่า จังหวัดชัยภูมิ ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 10 คน เพื่อกำหนดเป็นห้องเรียนของกลุ่มเป้าหมาย เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาวิจัยมี 3 ชนิด ได้แก่ (1) แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยวิธีการสอนแบบ STAD จำนวน 14 แผน (2) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน แบบเลือกตอบ จำนวน 30 ข้อ มีความยากระหว่าง 0.40 - 0.75 มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.36 0.75 มีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.71 (3) แบบวัดความพึงพอใจ จำนวน15 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกระหว่าง 0.37 0.62 ค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.87 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล ได้แก่ ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานด้วย t-test
ผลการศึกษา พบว่า
(1) ประสิทธิภาพการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.75/89.33
(2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ โดยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 หลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.5
(3) ค่าดัชนีประสิทธิผลการเรียนรู้ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่เรียนด้วยการจัดการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD มีค่าดัชนี ประสิทธิผลเท่ากับ 0.79
(4) นักเรียนมีความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้แบบฝึกทักษะ เรื่อง สมการและการแก้สมการ ด้วยวิธีการสอนแบบร่วมมือ STAD สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยรวม อยู่ในระดับ มาก