บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การจัดการเรียนรู้ตามแนวพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ. 2542 มาตรา 22 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2553 ที่ยึดหลักว่านักเรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุดดังนั้นกระบวนการจัดการศึกษาจึงต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและตามศักยภาพ นอกจากนั้นการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้เน้นถึงความสำคัญของการมุ่งให้นักเรียนเรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติจริงและรู้จักสร้างองความรู้ด้วยตนเอง จึงทำให้บทบาทของครูในปัจจุบันเปลี่ยนไปจากอดีตจากที่เคยเป็นครูผู้สอนและถ่ายทอดความรู้มาเป็นผู้จัดการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน เป็นผู้ที่จะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ใหม่ เป็นผู้ช่วยเหลือ แนะนำ และส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะและกระบวนการที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิต เช่น การแก้ปัญหา การให้เหตุผล การสื่อสาร การเชื่อมโยง ตลอดจนเป็นผู้กระตุ้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดในลักษณะต่างๆ เช่น คิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และคิดอย่างมีวิจารณญาณ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนที่มีคุณภาพของสังคม(ไพฑูรย์สินลารัตน์. 2546:1) ดังนั้นคุณควรจะมีความรู้ความสามารถในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิควิธีต่างๆ เพื่อให้นักเรียนบรรลุตามเป้าประสงค์ของทั้งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พุทธศักราช 2545 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3) พุทธศักราช 2553(สุรีพร ศิรินามมนตรี. 2552:1)
การศึกษาในยุคปัจจุบันมีลักษณะที่สอดคล้องกับความสามารถส่วนตัวมากขึ้น นักเรียนสามารถเรียนรู้ด้วยตนเองได้เท่าที่ตัวเองมีความพร้อม แต่ปัญหาคือขาดปฏิสัมพันธ์กับครูผู้สอน ดังนั้นวิธีที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ครูผู้สอนสามารถใช้วิธีการใด ๆ ก็ได้ที่เป็นวิธีการสอนที่ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอน เช่น วิธีการสอนแบบอภิปราย วิธีการสอนแบบแก้ปัญหา วิธีการสอนแบบเน้นการเรียนด้วยตนเอง (cooperative learning) เป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้แก่ผู้เรียนได้เรียนร่วมกันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถที่แตกต่างกัน โดยที่แต่ละคนมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ทั้งโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การแบ่งปันทรัพยากรการเรียนรู้ รวมทั้งการเป็นกำลังใจให้แก่กันและกัน คนที่เรียนเก่งจะช่วยเหลือคนที่เรียนอ่อน สมาชิกในกลุ่มจะต้องรับผิดชอบต่อการเรียนรู้ของเพื่อนสมาชิกทุกคนในกลุ่ม ความสำเร็จของแต่ละบุคคลคือความสำเร็จของกลุ่ม (วัฒนาพร ระงับสุกข์. 2541: 38)
คณิตศาสตร์ บทบาทสำคัญยิ่งต่อการพัฒนาความคิดมนุษย์ ทำให้มนุษย์มีความคิดสร้างสรรค์
คิดอย่างมีเหตุผล เป็นระบบ มีแบบแผน สามารถวิเคราะห์ปัญหาหรือสถานการณ์ได้อย่างถี่ถ้วน รอบคอบ ช่วยให้คาดการณ์ วางแผน ตัดสินใจ แก้ปัญหา และนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม นอกจากนี้คณิตศาสตร์ยังเป็นเครื่องมือในการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและศาสตร์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง คณิตศาสตร์จึงมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตและช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น พัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์มีความสมดุลทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา และอารมณ์ สามารถคิดเป็น ทำเป็นแก้ปัญหาเป็น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 261) (พี่น้อย)กระทรวงศึกษาธิการจึงจัดให้มีการปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ให้สอดคล้องเหมาะสมกับสภาพสังคมและเทคโนโลยีในปัจจุบัน โดยเปิดโอกาสให้เยาวชนทุกคนได้เรียนรู้คณิตศาสตร์ตลอดชีวิตตามศักยภาพ ทั้งนี้เพื่อให้เยาวชนเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถทางคณิตศาสตร์ที่พอเพียง สามารถนำความรู้ทักษะและกระบวนการทางคณิตศาสตร์ที่จำเป็นไปใช้พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ซึ่งประกอบด้วย ทักษะการแก้ปัญหา การให้เหตุผล การนำเสนอ การเชื่อมโยงความรู้ มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งปรับวิธีการคิดวุฒิภาวะ ความสนใจ และความถนัดของผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง จากการฝึกปฏิบัติ ฝึกให้นักเรียนคิดวิเคราะห์ และแก้ปัญหา กิจกรรมการเรียนการสอนต้องผสมผสานสาระทางด้านเนื้อหาและทักษะกระบวนการ ตลอดจนปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรมค่านิยมที่ดีถูกต้อง และเหมาะสมให้แก่ผู้เรียน(กรมวิชาการ 2545:1-3)
ปัจจุบันการเรียนการสอนตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพบว่าการจัดกิจกรรมการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะในระดับช่วงชั้นที่ 3 ยังไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร จากผลรายงานการสอบประเมินคุณภาพการศึกษาระดับชาติ ปีการศึกษา 2558 - 2559 ในระดับเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ภาพรวมวิชาคณิตศาสตร์มีผลการประเมินอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างต่ำ และในระดับสถานศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโรงเรียนดงมะไฟพิทยาคมปีการศึกษา 2558- 2559 ค่อนข้างต่ำ (22.28/17.89) จากข้อมูลดังกล่าว ทำให้ทราบว่าการจัดการเรียนการสอนวิชาคณิตศาสตร์ยังคงเป็นปัญหาที่สำคัญมาก ทั้งระดับเขตพื้นที่การศึกษาและในระดับโรงเรียน ทั้งนี้จากการวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ พบว่า ปัญหาต่าง ๆ เช่น ครูใช้การสอนที่เน้นการอธิบายหน้าชั้นเรียน ไม่มีการใช้กระบวนการกลุ่มในการจัดการเรียนการสอน นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนน้อย นักเรียนไม่ค่อยกล้าที่จะคิดหรือตอบคำถามเมื่อครูถามในขณะทำการเรียนการสอน
ผู้วิจัยในฐานะที่เป็นครูสอนคณิตศาสตร์ ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ได้พบปัญหาการจัดการเรียนการสอนโดยเฉพาะเรื่อง อสมการ การหาคำตอบของอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว และเรื่องที่เป็นปัญหาสำคัญมากของการเรียนอสมการ คือ โจทย์ปัญหาอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ซึ่งนักเรียนจะต้องคิดวิเคราะห์ ทำความเข้าใจปัญหา การวิเคราะห์ลักษณะของโจทย์ พร้อมทั้งแก้โจทย์ปัญหาได้อย่างถูกต้อง รวดเร็ว ในการเรียนรู้นักเรียนบางกลุ่มจะเรียนรู้ได้เร็วเข้าใจง่าย เมื่อมีการทดสอบก็จะทำคะแนนได้ในระดับดี แต่มีนักเรียนบางกลุ่ม(กลุ่มปานกลางและอ่อน)เรียนรู้ได้ช้า ไม่เข้าใจหลักการแก้อสมการและการแก้โจทย์ปัญหาอสมการ โดยเฉพาะยังขาดการวิเคราะห์โจทย์ปัญหาอสมการ ทำให้ไม่สามารถแก้อสมการเชิงเส้นตัวแปรตัวแปรเดียวได้ เมื่อมีการทดสอบเก็บคะแนนระหว่างเรียนและหลังเรียนนักเรียนกลุ่มปานกลางและกลุ่มอ่อนจะได้คะแนนค่อนข้างต่ำ
การเรียนแบบร่วมมือ (Cooperative Learning) เป็นวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มเล็กๆเป็นกระบวนการที่ผสมผสานระหว่างทักษะของการอยู่ร่วมในสังคมและทักษะด้านเนื้อหาวิชาต่างๆเป็นการเรียนการสอนที่ยึดผู้เรียนเป็นสำคัญโดยจัดให้นักเรียนมีความสามารถต่าง ๆ (Mixed Ability) กันเรียนและทำงานด้วยกันเป็นกลุ่มกลุ่มละสี่คนโดยมีจุดมุ่งหมาย (Goal) เดียวกันช่วยเหลือกันและกันภายในกลุ่ม ผู้ที่เรียนเก่งช่วยเหลือเพื่อนที่เรียนอ่อนกว่า และต้องยอมรับซึ่งกันและกันเสมอความสำเร็จของกลุ่มอยู่กับสมาชิกทุกคนภายในกลุ่ม รูปแบบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแบบร่วมมือ เป็นที่นิยมมีหลายวิธีการจัดกิจกรรมการเรียนแบบกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้ (Teams Assisted Individualization) หรือ TAI เป็นอีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นการเรียนแบบร่วมมือที่ผสมผสานระหว่างการเรียนแบบร่วมมือกับการเรียนรายบุคคล ยั่วยุให้นักเรียนสนใจที่จะเรียนประหยัดเวลา ทั้งผู้เรียนและผู้สอน และยังช่วยส่งเสริมความร่วมมือในการทำงาน ซึ่งจะเกิดผลดีต่อผู้เรียนและผู้สอน แบบฝึกทักษะได้แบ่งเนื้อหาออกเป็นหน่วยย่อยโดยการเรียงเนื้อหาจากง่ายไปหายาก แบบฝึกทักษะที่มีความยากง่ายเหมาะสมกับระดับชั้นของผู้เรียน ทำให้นักเรียนเกิดความสามารถที่จะคิดคำนวณหรือแก้โจทย์ปัญหาในเรื่องที่เข้าใจแล้วด้วยเทคนิควิธีการต่าง ๆ สามารถพัฒนาความรู้ความเข้าใจให้เป็นทักษะที่ชำนาญได้ กิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาทักษะทางคณิตศาสตร์จึงมีความจำเป็นต้องให้ผู้เรียนปฏิบัติด้วยตนเอง ซึ่งได้แก่ การทำแบบฝึกหัด(ศรีสุดา ญาติปลื้ม. 2546:4) และหน้าที่ของนักเรียนไม่ใช่ทำงานเป็นกลุ่มเท่านั้นแต่ต้องเรียนเป็นกลุ่มด้วยเหมาะสมกับจุดประสงค์การเรียนรู้ที่ต้องการสอนข้อเท็จจริง ความคิดรวบยอดในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้หรือที่ต้องการคำตอบที่แน่นอน(สมบัติ กาจนรักพงษ์. 2547:37) ซึ่งสลาวิน(Slavin. 1995:64) สรุปข้อดีของการสอนแบบกลุ่มร่วมมือกันเรียนรู้(Teams Assisted Individualization) หรือ TAI ดังนี้ (1) ช่วยให้เกิดแรงจูงใจและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้เรียนตามความสามารถของตน (2) ส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดความช่วยเหลือ (3) แก้ปัญหาเด็กอ่อนในห้องเรียนได้ (4) สนองความสามารถและความแตกต่างระหว่างบุคคลได้เป็นอย่างดี เด็กที่เรียนช้ามีเวลาศึกษาและฝึกฝนเรื่องที่ไม่เข้าใจมากขึ้น และเด็กที่เรียนเร็วใช้เวลาศึกษาน้อย (5) ช่วยให้เกิดการยอมรับในกลุ่มโดยเด็กเก่งยอมรับเด็กอ่อน และเด็กอ่อนเห็นคุณค่าของเด็กเก่ง (6) ช่วยแบ่งเบาภาระของครู ทำให้ครูมีเวลาสร้างสรรค์งานสอน ปรับปรุงการสอนมากขึ้น (7) ปลูกฝังนิสัยที่ดีในการอยู่ร่วมกันในสังคม (8) เสริมแรงให้เกิดขึ้นทั้งรายกลุ่มและรายบุคคล (9) ช่วยให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการเรียนรู้ของตนเองให้มากยิ่งขึ้น และทราบความก้าวหน้าของตนเองอยู่ตลอดเวลา(สุรีพร ศิรินามมนตรี. 2552:4)
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 75/75
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ กับเกณฑ์ที่กำหนดให้ร้อยละ 70
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนจากการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ
สมมติฐานการวิจัย
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
ขอบเขตของการวิจัย
1. ประชากร ที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนดงมะไฟ
พิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 2 ห้องเรียน นักเรียน จำนวน 45 คน
2. กลุ่มตัวอย่าง คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/2 โรงเรียนดงมะไฟพิทยาคม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 28 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 23 คน ได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
3. เนื้อหาที่ใช้ในการศึกษา เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว
4. ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย
4.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ กิจกรรมการเรียนรู้ด้วยแบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์
โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ(TAI)
4.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
4.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
4.2.2 ความพึงพอใจในการเรียนรู้ของนักเรียนจากการเรียนคณิตศาสตร์
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. การพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์หรือสื่อการเรียนการสอน
ที่จัดทำขึ้น โดยใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เพื่อให้นักเรียนได้ฝึกทักษะ เกิดความรู้ความชำนาญจนสามารถนำไปใช้ปฏิบัติได้และสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
2. การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง การจัดประสบการณ์การเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนได้มีโอกาสปฏิบัติด้วยตนเองเพื่อสร้างองค์ความรู้และมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ ตามลำดับ ขั้นตอนการเรียนรู้ โดยจัดทำในรูปแผนการจัดการเรียนรู้
3. การจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative Learning) หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยให้นักเรียนร่วมกันทำงานเป็นกลุ่มเล็กๆที่ประกอบด้วยสมาชิกที่มีความสามารถแตกต่างกันสมาชิกทุกคนต้องร่วมกันทำกิจกรรมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกันและมีความรับผิดชอบร่วมกันทั้งในส่วนตัวและส่วนรวมผลงานและรางวัลของกลุ่มนี้ขึ้นอยู่กับผลงานของสมาชิก
4. จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ หมายถึง การจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โรงเรียนดงมะไฟพิทยาคม อำเภอทรายมูล จังหวัดยโสธร ด้วยเทคนิค TAI ซึ่งกำหนดให้นักเรียนที่มีความสามารถแตกต่างกัน มาจากนักเรียนที่มีผลการเรียนระดับ เก่งปานกลาง อ่อน เข้ากลุ่มเรียนรู้ร่วมกันตามกิจกรรมการเรียนรู้ที่เป็นการผสมผสานระหว่างการเรียนรู้แบบร่วมมือกับการเรียนรายบุคคล เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเอง และเน้นการฝึกทักษะ จากทักษะย่อย ๆ ไปสู่ทักษะรวม เรียงลำดับเนื้อหาจากง่ายไปหายาก มีตัวอย่างและแบบฝึกทักษะ ส่งเสริมความร่วมมือในการทำงานกลุ่มร่วมมือการเรียนรู้ ซึ่งเทคนิค TAI มีขั้นตอนดังนี้
4.1 ขั้นเตรียม ครูแนะนำทักษะให้นักเรียนเรียนรู้ร่วมกัน และจัดเป็นกลุ่ม ทกลุ่มละ 4-5 คนตามระดับความสามารถสูง ปานกลาง ต่ำ มีอัตราส่วน 1:2:1 ครูแนะนำเกี่ยวกับระเบียบของกลุ่มบทบาทและหน้าที่ของของสมาชิก แจ้งวัตถุประสงค์ของบทเรียนและทำกิจกรรมร่วมกัน และการฝึกฝนทักษะพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับทำกิจกรรมกลุ่ม
4.2 ขั้นสอน ครูนำเข้าสู่บทเรียน แนะนำเนื้อหา แนะนำแหล่งข้อมูล นักเรียนทบทวนสิ่งที่เรียนมาแล้ว และมอบหมายงานให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม
4.3 ขั้นตอนทำกิจกรรมกลุ่ม ครูมอบหมายงานและบทบาทที่ให้นักเรียนรู้เรียนรู้ร่วมกัน และมีส่วนร่วมในการทำงานอย่างทั่วถึง แล้วให้ทุกคนทำแบบฝึกทักษะเล่มที่ 1 ให้ผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 ขึ้นไปถ้าไม่ผ่านเกณฑ์ให้เพื่อนที่เก่งช่วยอธิบายให้เข้าใจ และทำแบบฝึกทักษะเล่มที่ 2 หรือเล่มที่ 3 จนกว่าจะผ่านเกณฑ์ร้อยละ 70 จึงทำแบบทดสอบร่วมกันทั้งชั้น
4.4 ขั้นตรวจสอบผลงานและทดสอบ นักเรียนตรวจสอบว่าได้ปฏิบัติงานตามบทบาทหน้าที่ที่รับผิดชอบครบถ้วนหรือยัง ผลการปฏิบัติเป็นอย่างไร ผลงานกลุ่มและรายบุคคลผ่านเกณฑ์หรือไม่ผ่านเกณฑ์ โดยให้ผู้เสนอผลงานนำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน และส่งผลงานให้ครูตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง อาจทำงานเพิ่มเติม เพื่อซ่อมเสริมสิ่งที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์ หรือขาดตกบกพร่อง จากนั้นเป็นการทดสอบความรู้
4.5 ขั้นสรุปบทเรียนและประเมินผลการทำงานกลุ่ม ครูและนักเรียนช่วยกันสรุปบทเรียนและแจ้งคะแนนกลุ่มให้นักเรียนทราบหากกลุ่มใดทำคะแนนเฉลี่ยได้สูง ครูจะให้รางวัลเป็นใบประกาศเกียรติคุณหรือติดประกาศชมเชย เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนร่วมมือและช่วยเหลือกันและกัน ถ้ามีสิ่งที่นักเรียนยังไม่เข้าใจ ครูจะอธิบายเพิ่มเติม จากนั้นครูและนักเรียนร่วมกันพิจารณาว่าอะไรคือจุดเด่นของงาน และอะไรเป็นสิ่งที่ควรปรับปรุง เพื่อให้ผลงานของกลุ่มมีประสิทธิภาพมากขึ้น
5. ประสิทธิภาพของกิจกรรมการเรียนรู้ คุณภาพของกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่องอสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 70/70 ดังนี้
70 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละ 70 ของคะแนนเฉลี่ยของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการประเมินการทำใบกิจกรรมกลุ่ม การทำแบบฝึกทักษะ จากการทำแบบทดสอบระหว่างการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งได้คะแนนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 70
70 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละ 70 ของนักเรียนทุกคนที่ได้จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนด้วยรู้ด้วยแผนการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ เมื่อสิ้นสุดลงซึ่งได้คะแนนรวมไม่น้อยกว่าร้อยละ 70
6. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ความสามารถของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งวัดได้จากแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
7. แผนการจัดการเรียนรู้ หมายถึง ลำดับขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ แบบร่วมมือ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้สาระสำคัญ ผลการเรียนที่รู้ที่คาดหวัง จุดประสงค์การเรียนรู้ สาระการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนรู้ สื่อและแหล่งเรียนรู้ การวัดผลและประเมินผล ที่เตรียมไว้ล่วงหน้าอย่างเป็นระบบจำนวน 13 แผน
8. ความพึงพอใจในการเรียนรู้ หมายถึง การแสดงออกถึงความรู้สึกที่ดี เอาใจใส่ต่อการเรียนและเข้าร่วมกิจกรรมในการเรียนรู้คณิตศาสตร์ เรื่อง อสมการเชิงเส้นตัวแปรเดียว ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ ซึ่งประเมินได้ตามแบบวัดความพึงพอใจที่ผู้วิจัยสร้างขึ้น
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
ผลการวิจัยจะเป็นข้อสนเทศในการพัฒนากิจกรรมการเรียนรู้คณิตศาสตร์ โดยใช้การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบร่วมมือ สำหรับการเรียนรู้คณิตศาสตร์เรื่องอื่นและชั้นอื่นต่อไป