ชื่อเรื่อง การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน เรื่อง คำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตรา
ตัวสะกด
ผู้ศึกษา นางสุภาพร ภูพานเพชร ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะชำนาญการ
โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๓๔ (บ้านกุดโง้ง) อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต ๔
ปีที่ศึกษา ปีการศึกษา ๒๕๖๐
บทคัดย่อ
การพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน เรื่อง คำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด มีวัตถุประสงค์ ดังนี้ ๑) เพื่อพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐ / ๘๐ ๒) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด ให้จำนวนผู้เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนผู้เรียนทั้งหมด มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ตั้งแต่ร้อยละ ๘๐ ของคะแนนเต็มขึ้นไป ๓) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ๔) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้รูปแบบการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) ทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน (One Group Pretest Posttest Design) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ คือ ผู้เรียนที่กำลังศึกษาอยู่ในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ภาคเรียนที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๖๐ โรงเรียนไทยรัฐวิทยา ๓๔ (บ้านกุดโง้ง) อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต ๔ จำนวน ๑๘ คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วย ๑) แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ จำนวน ๑ เล่ม ๒) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน ๒๐ แผน ๒๐ ชั่วโมง ๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ ชนิดเลือกตอบ ๔ ตัวเลือก ๑ คำตอบ จำนวน ๑ ฉบับ ๓๐ ข้อ ซึ่งมีค่าความยาก (P) ตั้งแต่ ๐.๓๑ ถึง ๐.๗๑ และค่าอำนาจจำแนก (B) ตั้งแต่ ๐.๒๕ ถึง ๐.๙๒ และมีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ ๐.๘๒ ๔) แบบสอบถามความพึงพอใจ เป็นแบบสอบถามชนิดมาตราส่วนประมาณค่า ๕ ระดับ จำนวน ๑๐ ข้อ สถิติที่ใช้การวิเคราะห์หาประสิทธิภาพ ผลการทดสอบก่อนและหลังเรียน และค่าความคงทนในการเรียนรู้ ใช้ค่าเฉลี่ย ( ) ค่าร้อยละ (%) ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (S.D.) และการทดสอบค่า t (Dependent t test)
ผลการวิจัยพบว่า
๑) ผลการพัฒนาแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ พบว่า มีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๘.๓๖ / ๘๗.๘๖ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ที่ ๘๐ / ๘๐
๒) ผลการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด พบว่า คะแนนทดสอบหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญที่ระดับ .๐๕ ผู้เรียนทั้งชั้นได้คะแนนเฉลี่ย ๒๖.๓๙ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๓๐ คะแนน คิดเป็นร้อยละ ๘๗.๙๖ มีผู้เรียนผ่านเกณฑ์ ๑๘ คน ของจำนวนผู้เรียนทั้งหมด คิดเป็นร้อยละ ๑๐๐.๐๐ ซึ่งเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด คือ มีจำนวนผู้เรียนไม่น้อยกว่าร้อยละ ๘๐ ของจำนวนผู้เรียนทั้งหมดมีคะแนนร้อยละ ๘๐ ขึ้นไป
๓) ผลการหาค่าดัชนีประสิทธิผลของแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ พบว่า ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ ๐.๘๑๑๐ แสดงว่า ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น ๐.๘๑๑๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๑.๑๐
๔) ผลการศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ พบว่า มีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน ด้วยแบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด อยู่ในระดับมากที่สุด ( x̄= ๔.๗๕ , S.D.
= ๐.๔๒)
โดยสรุป การพัฒนาทักษะการอ่านการเขียน เรื่อง คำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ โดยใช้แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ ครั้งนี้ แบบฝึกเสริมทักษะการอ่านและการเขียนคำมาตราตัวสะกด กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๒ มีประสิทธิภาพต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้กับผู้เรียน ผู้เรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้สูงขึ้น ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น และผู้เรียนมีความพึงพอใจมากที่สุด