การพัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6
นางยุวธิดา ลอยประโคน
ทำวิจัยเมื่อ พ.ศ. 2559
บทคัดย่อ
การวิจัยนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และมีดัชนีประสิทธิผลสูงกว่าหรือเท่ากับ 0.50 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ และ (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre- experimental Design) ในรูปแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The single group, pretest-posttest Design) กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก สังกัดสำนักงาน เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่ ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ จำนวน 7 ชุด และแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน (2) เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.88 และแบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test)
ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.95/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 และดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.77 (2) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย และ (3) นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.78
2
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
การศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญที่สุดในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้นหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จึงมุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ บนพื้นฐานความเชื่อว่า ผู้เรียนทุกคนสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเอง ได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 4) นอกจากนี้สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ เป็นสาระการเรียนรู้ที่ต้องใช้เป็นหลักเพื่อสร้างพื้นฐานการคิด การเรียนรู้ และการแก้ปัญหา การจัดการเรียนรู้วิทยาศาสตร์จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการเรียนการสอนทั้งของครูและนักเรียน ครูผู้สอนจะต้องเปลี่ยนบทบาทจากการเป็นผู้บอกเล่า บรรยาย สาธิต เป็นการวางแผนจัดกิจกรรม ให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ กิจกรรมต่าง ๆ จะต้องเน้นที่บทบาทของนักเรียนตั้งแต่เริ่ม คือ ร่วมวางแผนการเรียน การวัดผล ประเมินผล กิจกรรมการเรียนรู้ควรเน้นการพัฒนากระบวนการคิด วางแผน ลงมือปฏิบัติ ศึกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลด้วยวิธีการต่าง ๆ จากแหล่งเรียนรู้อย่างหลากหลาย มีการตรวจสอบ วิเคราะห์ข้อมูล การแก้ปัญหา การมีปฏิสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน การสร้างคำอธิบายเกี่ยวกับข้อมูลที่สืบค้นได้ เพื่อนำไปสู่คำตอบของปัญหาหรือคำถามต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่การสร้าง องค์ความรู้ ทั้งนี้กิจกรรมการเรียนรู้ต้องพัฒนานักเรียนให้เจริญพัฒนาทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา (สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี, 2546 : 215-216)
ในการจัดการศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นั้น นอกจากสถานศึกษาต้องจัดการศึกษาให้เป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแล้ว สถานศึกษา ยังต้องจัดการศึกษาให้เป็นไปตามกฎหมายการศึกษา ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ และในการจัดการศึกษาให้เป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ผู้ที่รับผิดชอบจะต้องวิเคราะห์บทบัญญัติในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ อาทิ หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 ระบุไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ และมาตรา 23 ระบุไว้ว่า การจัดการศึกษาทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสมของแต่ละระดับ (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2558 : 12-13)
ในด้านการจัดการเรียนรู้ กระทรวงศึกษาธิการ (2551) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้ เป็นกระบวนการในการนำหลักสูตรสู่การปฏิบัติ ผู้สอนต้องพยายามจัดกระบวนการเรียนรู้เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ รวมทั้งเสริมสร้างคุณลักษณะอันพึงประสงค์พัฒนาทักษะสำคัญต่างๆ อันเป็นสมรรถนะสำคัญที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียนโดยมีหลักการจัดการเรียนรู้ว่า การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานโดยยึดหลักว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการเรียนรู้ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสามารถพัฒนา ตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและพัฒนาการทางสมอง
3
เน้นให้ความสำคัญทั้งความรู้และคุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ต้องเน้นการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน เป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการเรียนรู้ที่หลากหลายเป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายที่หลักสูตรกำหนดไว้ กระบวนการเรียนรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้ แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคมกระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวนการเรียนรู้จากประสบการณ์จริงกระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจัย กระบวนการเรียนรู้ของตนเองกระบวนการพัฒนาลักษณะนิสัย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ดังนั้นผู้สอนจึงจำเป็นต้องศึกษา และทำความเข้าใจในกระบวนการเรียนรู้ต่าง ๆ เพื่อสามารถเลือกใช้ในการจัดกระบวนการเรียนรู้ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 6 บ้านสังแก ตำบลราม อำเภอเมืองสุรินทร์ จังหวัดสุรินทร์ เปิดทำการสอน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยใช้หลักสูตรโรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก พุทธศักราช 2552 ฉบับปรับปรุง พุทธศักราช 2557 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งในการจัดการเรียนการสอนจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังไว้ได้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับโรงเรียน ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทำงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในการวางแผนดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาผู้เรียนไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ในการนี้ผู้รายงาน เป็นครูผู้สอนรายวิชาเคมี กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความตระหนัก ถึงความสำคัญในการจัดการเรียนการสอนให้เป็นไปตามกฎหมายทางการศึกษา ตลอดจนหลักการ จุดหมายของหลักสูตร และเป้าหมายคุณภาพที่สถานศึกษากำหนดไว้ และผู้รายงานมีความตั้งใจ ในการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเคมีให้มีประสิทธิภาพ และมุ่งผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยใช้กระบวนการวิจัยเข้ามาเกี่ยวข้อง เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอน วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา หาแนวทางในการแก้ปัญหาหลาย ๆ แนวทาง และเลือกแนวทางแก้ปัญหา ที่เหมาะสมและเป็นไปได้ ซึ่งจากการวิเคราะห์สภาพปัญหาการจัดการเรียนการสอนรายวิชาเคมี 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2557 พบปัญหาที่สำคัญคือผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 66.45 (โรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก, 2558 : 33) ซึ่งต่ำกว่าเป้าหมาย ที่โรงเรียนกำหนดไว้คือ ร้อยละ 70 เมื่อวิเคราะห์สาเหตุพบว่าการจัดการเรียนการสอนยังไม่เน้น ให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ ขาดวิธีการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ขาดการใช้สื่อหรือนวัตกรรมที่เหมาะสมและมีประสิทธิภาพ กิจกรรมการเรียนรู้ยังไม่สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง และการสร้างองค์ความรู้จากการเรียนรู้ ซึ่งมีผลทำให้นักเรียนมีความรู้ความเข้าใจไม่ถ่องแท้ ขาดความคงทนในการเรียนรู้ และไม่สามารถนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ต่าง ๆ ได้ จึงมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ดังนั้นแนวทางในการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ ก็คือ การพัฒนารูปแบบการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ และปฏิบัติกิจกรรมต่าง ๆ ด้วยตนเอง ควรใช้สื่อหรือนวัตกรรมหรือแหล่งการเรียนรู้อย่างหลากหลายและเหมาะสม เพื่อให้สามารถเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ในเรื่องที่ศึกษาได้ โดยผู้รายงานตั้งเป้าหมายว่าจะต้องดำเนินการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ให้ได้ค่าเฉลี่ยคิดเป็นหรือร้อยละ 70 ขึ้นไป เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด
4
จากปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด และแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้รายงานได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับการผลิตสื่อการเรียน และการใช้เทคนิคการสอน เพื่อนำมาส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ในกระบวนการเรียนรู้ และพบแนวคิดต่าง ๆ พอสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ได้ ตลอดจนการแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ อาทิ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2552 : 441-442) กล่าวว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนมีข้อค้นพบจาก การวิจัยซึ่งสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาเด็กเรียนช้าทำให้ผู้เรียนมีเจตคติที่ดีต่อวิชาเรียน และส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2543 : 117) ซึ่งกล่าวว่า ชุดการเรียนช่วยให้ผู้สอนสามารถถ่ายทอดเนื้อหาที่มีลักษณะเป็นนามธรรมสูง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น ฝึกการตัดสินใจในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์ อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะชุดการเรียนได้ผลิตขึ้นโดยมีพื้นฐานทฤษฎีทางจิตวิทยา กล่าวคือเป็นการประยุกต์ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยนำหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ คำนึงถึงความต้องการ ความถนัด ความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ สอดคล้องกับแนวคิดของสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2547 : 1) กล่าวไว้ว่า ชุดการเรียนเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้พัฒนามาจากวิธีการเรียนการสอนหลาย ๆ ระบบเข้ามาประสมประสานให้กลมกลืนกันได้อย่างเหมาะสม นับตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเอง การร่วมกิจกรรมกลุ่ม การใช้สื่อในรูปแบบต่าง ๆ มีเป้าหมายให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ไปทีละน้อย มีโอกาสคิดใคร่ครวญ มีส่วนร่วมกิจกรรมอย่างกระตือรือร้น ได้ลงมือปฏิบัติ และผู้เรียนมีโอกาสเกิดความภาคภูมิใจในความสำเร็จ โดยการทราบผลย้อนกลับทันทีหลังจากการทำกิจกรรม สำหรับชุดการเรียนประเภทที่เรียกว่า ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน หรือชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน ซึ่งเป็นชุดการเรียนที่นักเรียนเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มโดยจัดเป็นศูนย์การเรียน ซึ่งนอกจากจะให้ประสบการณ์การเรียนรู้โดยการศึกษาด้วยตนเองแล้ว ยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ สามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตลอดจนเสริมสร้างวินัยและประชาธิปไตยในระบบกลุ่มด้วย (สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2550 : 100) สำหรับวิธีการสอนแบบศูนย์การเรียนที่ใช้ควบคู่กับการใช้ชุดการสอนแบบศูนย์การเรียน เป็นวิธีสอนที่เน้นความสำคัญของผู้เรียนหรือยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และใช้เทคนิคการสอนที่ใช้สื่อประสม และกระบวนการกลุ่ม (Group Process) เพื่อส่งเสริมให้การเรียน การสอนมีชีวิตชีวา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาจากการกระทำกิจกรรม และการศึกษาด้วยตนเอง โดยแต่ละศูนย์มีชุดการเรียนให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มได้หมุนเวียนเรียนจนครบทุกศูนย์การเรียน นอกจากนี้ ทิศนา แขมมณี (2553 : 376-377) กล่าวว่าวิธีสอนโดยใช้ศูนย์การเรียนมีข้อดีคือ ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความกระตือรือร้นในการเรียนรู้ ช่วยให้ผู้เรียนทราบผลการเรียนรู้ทันที และเป็นวิธีสอนที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้เป็นรายบุคคลหรือกลุ่มย่อยได้ นอกจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้องกับชุดการเรียนรู้แล้ว ผู้รายงานได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้หรือชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เช่น ผลการวิจัยของจุฑามาศ เจตน์กสิกิจ (2552 : 68-75) เรื่องการพัฒนาชุดการสอนวิชาเคมี เรื่อง ไฟฟ้าเคมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมีของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอนวิชาเคมีหลังเรียน สูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับการวิจัยของพิมพ์ลภัส อุ่นทรัพย์ (2554 : 69-75) ศึกษาเรื่องการพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบส กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบสหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับผลการวิจัย
5
ของวิโรจน์ นามโส (2555 : 83-88) เรื่องการพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง ธาตุ และสารประกอบ ที่เน้นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ตลอดจนหลักการและเหตุผลดังกล่าวผู้รายงาน มีแนวคิดว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน จะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร และบรรลุเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนดไว้ได้ สำหรับเนื้อหาสาระของการวิจัยในครั้งนี้เป็นสาระการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้ที่ 2 เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โดยผู้รายงานสนใจ ที่จะศึกษาในหัวข้อ การพัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์ และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนำสารสนเทศที่ได้จากการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอน และพัฒนาผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนของนักเรียนต่อไป
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 และมีดัชนีประสิทธิผลสูงกว่าหรือเท่ากับ 0.50
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
3. สมมติฐานการวิจัย
นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
4. ประโยชน์ที่คากว่าจะได้รับ
1. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน ในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ และระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป
2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจซึ่งเป็นผลดีต่อการจัดการเรียนรู้ โดยจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน ในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ และระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป
3. เป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจในการศึกษาวิจัยการพัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนและวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไป
6
5. วิธีการดำเนินการวิจัย
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงการทดลองเบื้องต้น ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินการวิจัย ดังนี้
5.1 รูปแบบการวิจัย เป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre- experimental Design) ซึ่งเป็นการทดลองในรูปแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The single group, pretest-posttest Design)
5.2 ตัวแปรที่ศึกษา ประกอบด้วย
5.2.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
5.2.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
1) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
2) ความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
5.3 ประชากร ได้แก่ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 76 คน จาก 3 ห้องเรียน
5.4 กลุ่มตัวอย่างเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6/3 โรงเรียนรามวิทยา รัชมังคลาภิเษก สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 33 ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 28 คน ซึ่งได้มาโดยการสุ่มตัวอย่างแบบกลุ่ม (Cluster Random Sampling)
5.5 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย
5.5.1 เครื่องมือที่ใช้ในการทดลอง ได้แก่
1) ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ จำนวน 7 ชุด
2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 7 แผน
5.5.2 เครื่องมือที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่
1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ เป็นแบบทดสอบปรนัยแบบเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
2) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ เป็นแบบวัดแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
5.6 วิธีดำการวิจัย
ผู้รายงานดำเนินการทดลองกับกลุ่มตัวอย่าง โดยใช้รูปแบบการทดลองแบบกลุ่มตัวอย่างกลุ่มเดียวและมีการวัดผลก่อนและหลังการทดลอง โดยดำเนินการดังนี้
5.6.1 ชี้แจงให้นักเรียนเข้าใจวิธีการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์
5.6.2 วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียน และเก็บรวบรวมข้อมูลไว้
5.6.3 จัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ ครั้งละ 1 ชุด รวม 7 ชุด วัดและประเมินผลการเรียนและเก็บรวบรวมข้อมูลไว้
7
5.6.4 เมื่อดำเนินการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ เสร็จสิ้นครบ 7 ชุด แล้ววัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน โดยให้นักเรียนทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียน
5.6.5 วัดความพึงพอใจของนักเรียน โดยให้นักเรียนตอบแบบสอบถามความพึงพอใจ
5.7 การวิเคราะห์ข้อมูล
5.7.1 วิเคราะห์ประสิทธิภาพและดัชนีประสิทธิผลของชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ โดยใช้สถิติร้อยละ
5.7.2 เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนโดยใช้ t-test
5.7.3 วิเคราะห์ความพึงพอใจ โดยใช้ค่าเฉลี่ยและส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
6. สรุปผลการวิจัย
1. ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.95/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 และดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.77
2. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย
3. นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.78
7. อภิปรายผลการวิจัย
1. ผลการพัฒนาชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ พบว่าชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.95/83.72 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 และดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.77 เนื่องจากผู้รายงานได้สร้างชุดการเรียนรู้ แบบศูนย์การเรียนตามขั้นตอนการผลิตชุดการสอนแผนจุฬาทุกประการ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์เนื้อหา วางแผนการสอน การผลิตชุดการเรียน และการทดสอบประสิทธิภาพ (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2543 : 117-119) นอกจากนี้ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเป็นการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนอง ความต้องการ ความถนัด และความสนใจของนักเรียน นักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมด้วยตนเองอย่างกระตือรือร้น เริ่มตั้งแต่การศึกษาบัตรเนื้อหาจนกระทั่งได้ข้อมูลความรู้เบื้องต้นแล้ว จึงได้ทำกิจกรรมการเรียนรู้ร่วมกัน โดยมีการแสดงความคิดเห็น อภิปราย สรุปเนื้อหาในทุกแง่ทุกมุมจนเข้าใจดีแล้ว จึงตอบคำถามในบัตรคำถาม ซึ่งนักเรียนสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ และมีผลทำให้ประสิทธิภาพของกระบวนการมีค่า ร้อยละสูงกว่าเกณฑ์ 80 และหลังจากนักเรียนตอบคำถามแล้วมีการตรวจสอบผลซึ่งทำให้นักเรียนทราบผลว่าถูกหรือผิดอย่างไร นอกจากนี้นักเรียนยังได้นำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรกรมกลุ่มพร้อมทั้งการสรุปบทเรียนร่วมกันในระดับชั้นเรียนอีกครั้ง จึงทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจบทเรียนยิ่งขึ้น และเมื่อนักเรียนทดสอบ หลังเรียนจึงทำได้ถูกต้อง ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์มีค่าร้อยละสูงกว่าเกณฑ์ 80 ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 และค่าดัชนีประสิทธิผล
8
มากกว่า 0.50 ผลการวิจัยดังกล่าวนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของจุฑามาศ เจตน์กสิกิจ (2552 : 68-75) เรื่องการพัฒนาชุดการสอนวิชาเคมี เรื่อง ไฟฟ้าเคมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่าชุดการสอนวิชาเคมีมีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.48/81.43 ดัชนีประสิทธิผลมีค่าเท่ากับ 0.68 สอดคล้องกับการวิจัยของพิมพ์ลภัส อุ่นทรัพย์ (2554 : 69-75) ศึกษาเรื่องการพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบส กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่าชุดการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบส มีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.18/81.56 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของวิโรจน์ นามโส (2555 : 83-88) เรื่องการพัฒนา ชุดการเรียน เรื่อง ธาตุและสารประกอบ ที่เน้นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่าชุดการเรียนมีประสิทธิภาพเท่ากับ 82.55/81.71
2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ พบว่านักเรียนที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนแบบศูนย์การเรียน นักเรียนได้ทำกิจกรรมอย่างหลากหลาย ทั้งกิจกรรมรายบุคคลและกลุ่ม เริ่มต้นจากนักเรียนได้ทดสอบก่อนเรียน ซึ่งทำให้ทราบพื้นฐานความรู้เดิม ของตนเองในเรื่องที่จะเรียน เมื่อนักเรียนศึกษาบัตรเนื้อหาแล้วนักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมอย่างหลากหลาย มีการรายงานผลการปฏิบัติกิจกรรม และการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน ทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างถูกต้อง และเมื่อนักเรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเองจากการตอบคำถาม ในบัตรคำถาม ทำให้นักเรียนทราบว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจเพียงใด และในขั้นสุดท้ายนักเรียนทดสอบหลังเรียน ซึ่งจากกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องดังกล่าวจึงมีผลทำให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ความเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนจึงสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเป็นการตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านสติปัญญา ความสามารถ และสอดคล้องกับกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) คือ กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางร่างกายและจิตใจ กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) เพราะการฝึกหัดหรือการกระทำบ่อย ๆ ด้วยความเข้าใจทำให้การเรียนรู้นั้นคงทน และกฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) เพราะการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับ การตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดขึ้นหากมีการใช้บ่อย ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2553 : 51-52) ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของจุฑามาศ เจตน์กสิกิจ (2552 : 68-75) เรื่องการพัฒนาชุดการสอนวิชาเคมี เรื่อง ไฟฟ้าเคมี สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชาเคมี ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 ที่ได้รับการสอนโดยใช้ชุดการสอนวิชาเคมีหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 สอดคล้องกับการวิจัยของพิมพ์ลภัส อุ่นทรัพย์ (2554 : 69-75) เรื่องการพัฒนาชุดการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบส กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยม ศึกษาปีที่ 5 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนด้วยชุดการเรียนรู้ เรื่อง กรด-เบส หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ วิโรจน์ นามโส (2555 : 83-88) เรื่องการพัฒนาชุดการเรียน เรื่อง ธาตุ และสารประกอบ ที่เน้นความสามารถ ในการคิดวิเคราะห์ สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
9
3. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ พบว่านักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 มีความความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิงซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ อยู่ในระดับพึงพอใจมาก มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.10 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.78 เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนเป็นการตอบสนอง ความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านความสนใจ และความต้องการ เมื่อนักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติได้ พร้อมทั้งได้รับการเสริมแรง ก็จะเกิดความภาคภูมิใจ เกิดความพึงพอใจ และพร้อม ที่จะเรียนรู้ต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ คือกฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect)กล่าวคือ เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อมอยากที่จะเรียนรู้ต่อไปแต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยากเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2553 : 51-52) ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของศริญญา นามขันธ์ (2552 : 81-90) ศึกษาเรื่องการพัฒนาชุดการสอนวิชาเคมี เรื่อง โครงสร้างอะตอม สำหรับนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนศรีสุขวิทยา จังหวัดสุรินทร์ พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อชุดการสอนในระดับมาก สอดคล้องกับผลการวิจัยของลลิตา เอียดนุสรณ์ (2553 : 46-54) เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและความเข้าใจที่คงทนในการเรียนเรื่องการหายใจระดับเซลล์ ของนักเรียน ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ด้วยชุดการเรียนรู้โดยกระบวนการสืบเสาะแบบวัฏจักรการเรียนรู้ 5E ซึ่งพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจในการเรียนอยู่ในระดับมาก และสอดคล้องกับผลการวิจัยของสุธี ผลดี (2553 : 6-7, 59-61) เรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่อง กรด-เบส ด้วยชุดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ ทางวิทยาศาสตร์ที่เชื่อมโยงกับชีวิตประจำวัน ซึ่งพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์อยู่ในระดับมาก
8. ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งนี้
1.1 ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียน เรื่อง เชื้อเพลิง ซากดึกดำบรรพ์และผลิตภัณฑ์ รายวิชาเคมี 5 ครูมีบทบาทในการชี้แนะและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียน และช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกันได้เป็นอย่างดี เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองและกลุ่มมากที่สุด นอกจากนี้ครูควรให้การเสริมแรงอย่างเหมาะสม เช่น ชมเชยนักเรียนเมื่อทำได้ถูกต้อง หรือมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ที่กำหนด หรือมีผล การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
1.2 ครูควรชี้แจงให้นักเรียนทราบว่านักเรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ร่วมกัน ดังนั้นนักเรียนจะต้องมีความมุ่งมั่น ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบในการเรียนทั้งของตนเองและกลุ่ม
1.3 การจัดชั้นเรียนและสภาพแวดล้อม ควรชัดชั้นเรียนให้มีจำนวนนักเรียนพอเหมาะ ไม่มากเกินไป เพราะการจัดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนจะต้องใช้พื้นที่ต่าง ๆ ในการทำกิจกรรม ที่มีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา และครูจะต้องดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ทั่วทุกกลุ่ม ในการวิจัยครั้งนี้ผู้รายงานเลือกกลุ่มตัวอย่าง 1 ห้อง มีนักเรียนจำนวน 28 คน จัดเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 4-5 คน จำนวน 6 กลุ่ม
10
2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนใช้ในการวิจัยรายวิชาต่าง ๆ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ
2.2 ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนไปใช้ศึกษากับตัวแปรอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ เช่น จิตวิทยาศาสตร์ เจตคติต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เป็นต้น