ผู้ศึกษาค้นคว้า นางจารุวรรณ ชมภูพื้น
สถานศึกษา โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว
ปีการศึกษา ๒๕๕๙
บทคัดย่อ
การศึกษาการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ ภาษาไทย เรื่อง การอ่านและการเขียนคำ
ที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์ในการศึกษา ดังนี้ ๑) เพื่อพัฒนาความสามารถของนักเรียนด้านการอ่าน การเขียนคำในภาษาไทย โดยการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์มาตรฐาน ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อหาค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ๓) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ที่เรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ที่เรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะด้านการอ่านและการเขียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ จำนวน ๒๙ คน ซึ่งได้มาโดยการคัดเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษาได้แก่ ๑) ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ จำนวน ๕ เล่ม ๆ ละ ๑๐ แบบฝึก ๒) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ จำนวน ๓๐ ข้อ ซึ่งเป็นข้อสอบปรนัยแบบเลือกตอบ ๓ ตัวเลือก มีค่าความยาก (P) อยู่ระหว่าง ๐.๓๐ ๐.๗๖ ค่าอำนาจจำแนก (B) อยู่ระหว่าง ๐.๒๓ ๐.๗๓ และมีค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ ๐.๙๑
๓) แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ
และแอ) ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓
จำนวน ๒๐ ชั่วโมง โดยไม่นับรวมการทดสอบก่อนเรียนและหลังเรียน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ค่าดัชนีประสิทธิผล ค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบ และค่า t test (Dependent)
ผลการศึกษาค้นคว้า ปรากฏดังนี้
๑.ประสิทธิภาพของชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำ
ที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ที่ผู้ศึกษาสร้างขึ้นมีประสิทธิภาพ ๘๗.๗๑/๘๙.๐๘
ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ คือ ๘๐/๘๐
๒.ค่าดัชนีประสิทธิผลของชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำ
ที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ มีค่าเท่ากับ ๐.๗๕๔๘ หรือนักเรียนมีความรู้มีทักษะเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ ๗๕.๔๘
๓. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในเรียนรู้โดยการใช้ชุดแบบฝึกเสริมทักษะ เรื่อง การอ่านและการเขียนคำที่ประสมสระเสียงยาว (สระอา อี อู เอ และแอ) ) กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ โรงเรียนชุมชนบ้านห้วยหลัว สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสกลนคร เขต ๓ ระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียน มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .๐๑