การพัฒนาชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
นางสาวสุชาดา ยิ่งยงยุทธ
ทำวิจัยเมื่อ พ.ศ. 2559
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ (1) พัฒนาชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 (2) เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียน และหลังเรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร (3) ศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ งานบ้าน และงานเกษตร
รูปแบบการวิจัยเป็นการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre- experimental Design) ในรูปแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The single group, pretest-posttest Design) กลุ่มเป้าหมายเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองสะแกสน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ในปีการศึกษา 2559 จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยประกอบด้วย (1) ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 14 ชุด (2) แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 14 แผน (3) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.87 และ (4) แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ มีค่าความเชื่อมั่นเท่ากับ 0.96 สถิติที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test)
ผลการวิจัยพบว่า (1) ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชา การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.62/84.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 (2) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย และ (3) นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร อยู่ในระดับพึงพอใจมากโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.71
1. ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งส่งเสริมให้ผู้เรียน มีคุณธรรม รักความเป็นไทย มีทักษะในการคิดวิเคราะห์ คิดสร้างสรรค์ มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถทำงานร่วมกับผู้อื่น และสามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมโลกได้อย่างสันติ ในการจัดหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้นจะประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่คาดหวังได้ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องทั้งระดับชาติ ชุมชน ครอบครัว และบุคคลต้องร่วมรับผิดชอบ โดยร่วมกันทำงานอย่างเป็นระบบและต่อเนื่องในการวางแผนดำเนินการ ส่งเสริมสนับสนุน ตรวจสอบ ตลอดจนปรับปรุงแก้ไข เพื่อพัฒนาเยาวชนของชาติไปสู่คุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 2-3) สำหรับกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ช่วยพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจ มีทักษะพื้นฐานที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง สามารถนำความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิต การอาชีพ และเทคโนโลยี มาประยุกต์ใช้ในการทำงานอย่างสร้างสรรค์ และแข่งขันในสังคมไทย และสากล เห็นแนวทางในการประกอบอาชีพ รักการทำงาน และมีเจตคติที่ดีต่อการทำงาน สามารถดำรงชีวิต อยู่ในสังคมได้อย่างพอเพียงและมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551 : 204)
ในการจัดการศึกษานั้นผู้เกี่ยวข้องต้องปฏิบัติตามกฎหมายทางการศึกษา ซึ่งได้แก่พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพิ่มเติม(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ซึ่งผู้ที่รับผิดชอบจะต้องเกี่ยวกับการจัดการศึกษาจะต้องวิเคราะห์บทบัญญัติในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ อาทิ หมวด 4 แนวการจัดการศึกษา มาตรา 22 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคน มีความสามารถในการเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ นอกจากนี้ มาตรา 23 ระบุว่า การจัดการศึกษาต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้ และบูรณาการตามความเหมาะสม อาทิ ข้อ (2) ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจและประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์ จากทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุลยั่งยืน และมาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้
ระบุว่า ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดกระบวนการเรียนรู้ เช่น จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจ และความถนัดของผู้เรียน โดยคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา, 2558 : 12-13)
โรงเรียนบ้านหนองสะแกสน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ตั้งอยู่ที่หมู่ 5 ตำบลปราสาท อำเภอขุขันธ์ จังหวัดศรีสะเกษ เปิดทำการสอนระดับชั้นอนุบาล 1 ถึงชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยจัดการเรียนการสอนตามหลักสูตรโรงเรียนบ้านหนองสะแกสน พุทธศักราช 2553 ปรับปรุง พ.ศ. 2557 ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ในด้านการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีนั้น ผู้รายงานเป็นครูผู้สอนสอนรายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และผู้รายงานมีความตระหนักในความสำคัญของการจัดการเรียนการสอนให้บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ในหลักสูตร และมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพบรรลุเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนด ดังนั้นในปีการศึกษา 2558 ผู้รายงานจึงเริ่มต้นศึกษาข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของปีการศึกษา 2557 ที่ผ่านมา พร้อมทั้งศึกษา
สภาพการจัดการเรียนการสอนเพื่อต้องการทราบปัญหาต่าง ๆ ซึ่งนำไปสู่การวิเคราะห์สาเหตุของปัญหา และหาแนวทางในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น พร้อมทั้งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ และบรรลุเป้าหมายคุณภาพที่โรงเรียนกำหนดไว้ ดังนั้นผู้รายงานจึงวางแผนที่จะพัฒนาคุณภาพของการจัดการเรียนการสอน ดังนี้
1. สำรวจข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยรวมมีค่าเฉลี่ยคิดเป็นร้อยละ 72.36 ซึ่งยังไม่บรรลุเป้าหมายที่โรงเรียนกำหนดไว้ร้อยละ 75
2. ศึกษาปัญหาการจัดการเรียนการสอน รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าการจัดการเรียนการสอนยังไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ขาดการใช้สื่อการเรียนที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้
3. วิเคราะห์สาเหตุของปัญหา พบว่าปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำกว่าเป้าหมาย ที่โรงเรียนกำหนด มีสาเหตุมาจากการเรียนการสอนยังไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสร้างความรู้ด้วยตนเอง ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ที่ไม่คงทน และไม่สามารถนำไปใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ ต่าง ๆ ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำข้อสอบ จึงมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ นอกจากนี้ การขาดการใช้สื่อและเทคนิคการสอนที่มีประสิทธิภาพในการส่งเสริมการเรียนรู้จึงทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ
4. กำหนดแนวทางในการแก้ปัญหา โดยการผลิตสื่อการเรียนที่มีประสิทธิภาพขึ้นใช้ ในการจัดการเรียนการสอน ใช้วิธีสอนหรือเทคนิคการสอนที่มีประสิทธิภาพในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จัดการเรียนการสอนโดยให้ผู้เรียนมีบทบาทสำคัญในการใช้สื่อการเรียนร่วมกับวิธีการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม ส่งเสริมการเรียนรู้ตามความแตกต่างระหว่างบุคคล และใช้หลักจิตวิทยาในการเสริมแรงแก่นักเรียนอย่างเหมาะสมในการจัดการเรียนรู้
จากแนวทางในการแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้รายงานได้ศึกษาเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวกับ การผลิตสื่อการเรียน และการใช้เทคนิคการสอน เพื่อนำมาส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ และพบแนวคิดต่าง ๆ พอสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้เพื่อส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง และแก้ปัญหาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ อาทิ ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์ (2552 : 441-442) กล่าวว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนมีข้อค้นพบจากการวิจัยซึ่งสรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการเรียนมีผลทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ช่วยแก้ปัญหาเด็กเรียนช้าทำให้ผู้เรียนมีเจตคติ ที่ดีต่อวิชาเรียน และส่งเสริมความสามารถในการแก้ปัญหาได้ดี ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของชัยยงค์ พรหมวงศ์ (2543 : 117) ซึ่งกล่าวว่าชุดการเรียนช่วยให้ผู้สอนสามารถถ่ายทอดเนื้อหาที่มีลักษณะเป็นนามธรรมสูง เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นมากขึ้น ฝึกการตัดสินใจในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง และมีความรับผิดชอบ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ตามวัตถุประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะชุดการเรียนได้ผลิตขึ้นโดยมีพื้นฐานทฤษฎีทางจิตวิทยา กล่าวคือเป็นการประยุกต์ทฤษฎีความแตกต่างระหว่างบุคคล โดยนำหลักจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน ได้แก่ คำนึงถึงความต้องการ ความถนัด และความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของสุนันทา สุนทรประเสริฐ (2547 : 1) กล่าวไว้ว่าชุดการเรียนเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ได้พัฒนามาจากวิธีการเรียนการสอนหลาย ๆ ระบบเข้ามาประสมประสานกันให้กลมกลืนกันได้อย่างเหมาะสม นับตั้งแต่การเรียนรู้ด้วยตนเอง การร่วมกิจกรรมกลุ่ม การใช้สื่อในรูปแบบต่าง ๆ มีเป้าหมายให้ผู้เรียนได้เกิดการเรียนรู้ไปทีละน้อย มีโอกาสคิดใคร่ครวญ
มีส่วนร่วมกิจกรรมอย่างกระฉับกระเฉง ได้ลงมือปฏิบัติ และผู้เรียนมีโอกาสเกิดความภาคภูมิใจ ในความสำเร็จโดยการทราบผลย้อนกลับทันทีหลังจากการทำกิจกรรม สำหรับชุดการเรียนประเภทที่เรียกว่า ชุดการเรียนแบบกลุ่มกิจกรรมเป็นชุดการเรียนที่นักเรียนเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่ม ซึ่งมีลักษณะเป็นชุดสื่อประสม (Multi Media Set) มีเนื้อหาครบในตัวเองครอบคลุมการสอนของครูได้ครบวงจร ช่วยให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพ และเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (วาสนา ทวีกุลทรัพย์, 2551 : 60) ซึ่งนอกจากจะให้ประสบการณ์การเรียนรู้โดยการศึกษาด้วยตนเองแล้ว ยังส่งเสริมให้นักเรียนมีความซื่อสัตย์ สามัคคี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ตลอดจนเสริมสร้างวินัยและประชาธิปไตยในระบบกลุ่มด้วย (สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ, 2550 : 100) สำหรับวิธีการสอนโดยใช้ชุดการเรียนเป็นวิธีสอนที่เน้นความสำคัญของผู้เรียนหรือยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง และใช้เทคนิคการสอนที่ใช้สื่อประสม และกระบวนการกลุ่ม (Group Process) เพื่อส่งเสริมให้การเรียนการสอนมีชีวิตชีวา ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และพัฒนาจากการกระทำกิจกรรม และการศึกษาด้วยตนเอง นอกจากการศึกษาเอกสารที่เกี่ยวกับชุดการเรียนรู้แล้ว ผู้รายงานได้ศึกษางานวิจัยเกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนโดยใช้ชุดการเรียนรู้ เช่น ผลการวิจัยของรัชนี ดวงสิทธิ์ (2552 : 85-90) เรื่องการพัฒนาชุดการสอน เรื่อง งานประดิษฐ์จากผ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ประพิศ ทรงวิชา (2553 : 101-108) เรื่องการพัฒนาชุดการเรียนการสอน โดยบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หน่วยการเรียนรู้ การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ วัฒนาภรณ์ ดุจดา (2553 : 81-85) เรื่อง การพัฒนาชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง อาหารท้องถิ่นอีสาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียน มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
จากความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา ตลอดจนหลักการและเหตุผลดังกล่าวผู้วิจัย มีแนวคิดว่าการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ จะสามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตร และบรรลุเป้าหมายที่สถานศึกษากำหนดไว้ได้ สำหรับเนื้อหาสาระของการวิจัยในครั้งนี้เป็นสาระการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 งานบ้าน และหน่วยการเรียนรู้ที่ 3 งานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โดยผู้รายงานสนใจที่จะศึกษาในหัวข้อ การพัฒนาชุดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 เพื่อนำสารสนเทศที่ได้จากการวิจัยไปใช้ในการพัฒนาการเรียนการสอนและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนต่อไป
2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อพัฒนาชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร
3. สมมติฐานการวิจัย
นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ งานบ้าน และงานเกษตร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
4. ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ในหน่วยการเรียนรู้อื่น ๆ และระดับชั้นอื่น ๆ ต่อไป
2. เป็นแนวทางสำหรับครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้เพื่อให้นักเรียนเกิดความพึงพอใจซึ่งเป็นผลดีต่อการจัดการเรียนรู้ต่อไป
3. เป็นแนวทางสำหรับผู้สนใจในการศึกษาวิจัยการพัฒนาชุดการเรียนรู้และวิธีการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ในกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ ต่อไป
5. วิธีการดำเนินการวิจัย
การวิจัยนี้เป็นการวิจัยเชิงการทดลองเบื้องต้น ซึ่งมีขั้นตอนและวิธีการดำเนินการวิจัย ดังนี้
1. กลุ่มเป้าหมาย ได้แก่ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านหนองสะแกสน สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาศรีสะเกษ เขต 3 ในปีการศึกษา 2559 จำนวน 15 คน ซึ่งได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling)
2. รูปแบบการวิจัย ใช้วิธีการวิจัยเชิงทดลองเบื้องต้น (Pre- experimental Design) ทดลองในรูปแบบกลุ่มทดลองกลุ่มเดียว วัดผลก่อนและหลังการทดลอง (The single group, pretest-posttest Design) โดยมีแบบแผนการทดลองดังนี้
ผังการทดลอง Ex T1 X T2
X หมายถึง การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน
และงานเกษตร
T1 หมายถึง การทดสอบก่อนการทดลอง
T2 หมายถึง การทดสอบหลังการทดลอง
3. ตัวแปรที่ศึกษา
3.1 ตัวแปรอิสระ ได้แก่ การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้หน่วยการเรียนรู้ งานบ้าน และงานเกษตร ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
3.2.1 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร
3.2.2 ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการจัดการเรียนรู้
โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร
4. เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ประกอบด้วย
4.1 ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 14 ชุด
4.2 แผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 14 แผน
4.3 แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน จำนวน 40 ข้อ เป็นแบบทดสอบปรนัยเลือกตอบ 4 ตัวเลือก
4.4 แบบสอบถามความพึงพอใจ จำนวน 20 ข้อ เป็นแบบมาตราส่วนประมาณค่า 5 ระดับ
6. สรุปผลการวิจัย
1. ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพ และเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.62/84.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80
2. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย
3. นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร อยู่ในระดับพึงพอใจมากโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.71
7. อภิปรายผลการวิจัย
1. ผลการพัฒนาชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้ งานบ้าน และงานเกษตร มีประสิทธิภาพเท่ากับ 86.62/84.90 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 เนื่องจากผู้รายงานได้สร้างชุดการเรียนรู้แบบศูนย์การเรียนตามขั้นตอนการผลิตชุดการสอนแผนจุฬา ทุกประการ เริ่มตั้งแต่การวิเคราะห์เนื้อหา วางแผนการสอน การผลิตชุดการเรียน และการทดสอบประสิทธิภาพ โดยตรวจสอบประสิทธิภาพเบื้องต้น (Tryout) ซึ่งทำการทดลองแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม และแบบสนาม จนกระทั่งชุดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 จึงนำไปทดลองใช้ (Trial Run) กับนักเรียนกลุ่มเป้าหมาย (ชัยยงค์ พรหมวงศ์, 2543 : 117-119) นอกจากนี้
การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้เป็นการจัดการเรียนรู้ที่ตอบสนองความต้องการ ความถนัด และความสนใจของนักเรียน นักเรียนได้เข้าร่วมกิจกรรมด้วยตนเอง เริ่มตั้งแต่การศึกษาค้นคว้า จากบัตรเนื้อหาจนกระทั่งได้ข้อมูลความรู้เบื้องต้นแล้ว จึงได้ทำกิจกรรมกลุ่มร่วมกันโดยมีการแสดงความคิดเห็น อภิปราย สรุปเนื้อหาในทุกแง่ทุกมุมจนเข้าใจดีแล้ว จึงตอบคำถามในบัตรคำถาม ซึ่งนักเรียนสามารถตอบคำถามได้ถูกต้องเป็นส่วนใหญ่ และมีผลทำให้ประสิทธิภาพของกระบวนการ มีค่าร้อยละสูงกว่าเกณฑ์ 80 และหลังจากนักเรียนตอบคำถามแล้วมีการตรวจสอบผลซึ่งทำให้นักเรียนทราบผลว่าถูกหรือผิดอย่างไร สุดท้ายนักเรียนยังได้นำเสนอผลการปฏิบัติกิจกรรมกลุ่มพร้อมทั้งการสรุปบทเรียนร่วมกันในระดับชั้นเรียนอีกครั้ง จึงทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจบทเรียนยิ่งขึ้น และเมื่อนักเรียนทดสอบหลังเรียนจึงทำคะแนนได้มาก ซึ่งมีผลทำให้ประสิทธิภาพของผลลัพธ์มีค่า ร้อยละสูงกว่าเกณฑ์ 80 และทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมของชุดการเรียนรู้สูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ภาคินี บุณยรัตพันธ์ (2552 : 81-84) เรื่องการสร้าง ชุดการเรียนรู้ เรื่อง การถนอมอาหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่าชุดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพเท่ากับ 94.48/82.69 ผลงานวิจัยของ รัชนี ดวงสิทธิ์ (2552 : 85.90) เรื่องการพัฒนาชุดการสอน เรื่อง งานประดิษฐ์จากผ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่าชุดการสอน มีประสิทธิภาพเท่ากับ 84.10/83.07 ผลงานวิจัยของของประพิศ ทรงวิชา (2553 : 101-108) เรื่องการพัฒนาชุดการเรียนการสอน โดยบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หน่วยการเรียนรู้ การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่าชุดการเรียนการสอนโดยบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง มีประสิทธิภาพเท่ากับ 87.42/86.91 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของวัฒนาภรณ์ ดุจดา (2553 : 81-85) เรื่องการพัฒนาชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง อาหารท้องถิ่นอีสาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งพบว่าชุดการสอน เรื่อง อาหารท้องถิ่นอีสาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีประสิทธิภาพเท่ากับ 83.63/81.84
2. การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนระหว่างก่อนเรียนและหลังเรียนจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ที่ได้รับการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย ซึ่งเป็นไปตามสมมติฐานการวิจัย โดยมีค่าเฉลี่ยของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียนเท่ากับ 13.60 และ 33.20 ตามลำดับ เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้นั้น นักเรียนได้ทำกิจกรรมอย่างหลากหลายทั้งกิจกรรมรายบุคคลและกลุ่ม เริ่มต้นจากนักเรียนได้ทดสอบก่อนเรียน ซึ่งทำให้ทราบพื้นฐานความรู้เดิมของตนเองในเรื่องที่จะเรียน เมื่อนักเรียนศึกษาค้นคว้า จากบัตรเนื้อหาแล้วนักเรียนได้ปฏิบัติกิจกรรมอย่างหลากหลาย มีการรายงานผลการปฏิบัติกิจกรรม และการอภิปรายแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในชั้นเรียน ซึ่งทำให้นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างถูกต้อง และเมื่อนักเรียนได้ทดสอบความรู้ของตนเองจากการตอบคำถามในบัตรคำถาม ทำให้นักเรียนทราบว่าตนเองมีความรู้ความเข้าใจเพียงใด และในขั้นสุดท้ายนักเรียนทดสอบหลังเรียน ซึ่งจากกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องดังกล่าวจึงมีผลทำให้นักเรียนได้พัฒนาความรู้ความสามารถอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนจึงสูงกว่าก่อนเรียน นอกจากนี้การจัดการเรียนรู้ โดยใช้ชุดการเรียนรู้ยังเป็นการตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลในด้านสติปัญญา ความสามารถ และสอดคล้องกับกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) คือ กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) เพราะการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้าผู้เรียนมีความพร้อมทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) เพราะการฝึกหัดหรือการกระทำบ่อย ๆ ด้วยความเข้าใจ ทำให้การเรียนรู้นั้นคงทน และกฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) เพราะการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดขึ้นหากมีการใช้บ่อย ๆ (ทิศนา แขมมณี, 2553 : 51-52) ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของรัชนี ดวงสิทธิ์ (2552 : 85-90) เรื่องการพัฒนาชุดการสอน เรื่อง งานประดิษฐ์จากผ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่า ก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 สอดคล้องกับผลการวิจัยของ ประพิศ ทรงวิชา (2553 : 101-108) เรื่องการพัฒนาชุดการเรียนการสอน โดยบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หน่วยการเรียนรู้ การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่าผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติที่ระดับ .01 และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ วัฒนาภรณ์ ดุจดา (2553 : 81-85) เรื่อง การพัฒนาชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง อาหารท้องถิ่นอีสาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 พบว่านักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01
3. การศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร พบว่านักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีความความพึงพอใจต่อการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร อยู่ในระดับพึงพอใจมากโดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.29 และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.71 เนื่องจากการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ได้ตอบสนองความแตกต่างระหว่างบุคคลด้านความสนใจ และความต้องการ เมื่อนักเรียนเรียนรู้ด้วยความเข้าใจ และสามารถปฏิบัติได้ เมื่อได้รับการเสริมแรงก็เกิดความภาคภูมิใจ เกิดความพึงพอใจ และพร้อมที่จะเรียนรู้ในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งสอดคล้องกับกฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ (Thorndike) คือ กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) กล่าวคือ เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจ ย่อมอยากที่จะเรียนรู้ต่อไปแต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจจะไม่อยากเรียนรู้ (ทิศนา แขมมณี, 2553 : 51-52) ผลการวิจัยนี้สอดคล้องกับผลการวิจัยของอัมพร อานุภาพแสนยากร (2552 : 71-76) เรื่องการพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพ และเทคโนโลยี เรื่อง การประดิษฐ์วัสดุ เป็นของประดับตกแต่ง ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ซึ่งพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอนอยู่ในระดับพึงพอใจมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.37และสอดคล้องกับผลการวิจัยของ ประพิศ ทรงวิชา (2553 : 101-108) เรื่อง การพัฒนาชุดการเรียนการสอน โดยบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หน่วยการเรียนรู้ การปลูกไม้ดอกไม้ประดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ซึ่งพบว่านักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนโดยใช้ชุดการเรียนการสอนอยู่ในระดับพึงพอใจในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.61
8. ข้อเสนอแนะ
1. ข้อเสนอแนะในการวิจัยครั้งนี้
1.1 การจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ หน่วยการเรียนรู้งานบ้าน และงานเกษตร รายวิชาการงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ครูมีบทบาทในการชี้แนะและอำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ของนักเรียน และช่วยเหลือนักเรียนเพื่อให้นักเรียนสามารถเรียนรู้ร่วมกัน ได้เป็นอย่างดี เปิดโอกาสให้นักเรียนได้เรียนรู้ด้วยตนเองและกลุ่มมากที่สุด นอกจากนี้ครูควรให้การเสริมแรงอย่างเหมาะสม เช่น ชมเชยนักเรียนเมื่อตอบได้ถูกต้อง หรือมีผลงานถูกต้อง หรือมีผลการประเมินผ่านเกณฑ์ที่กำหนด เป็นต้น ซึ่งทำให้ให้นักเรียนเกิดความรู้สึกภาคภูมิใจ และเกิดแรงจูงใจ ในการเรียนรู้ต่อไป
1.2 ครูควรชี้แจงให้นักเรียนทราบว่านักเรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ร่วมกัน ดังนั้นนักเรียนจะต้องมีความตั้งใจ ใฝ่เรียนรู้ และรับผิดชอบในการเรียนทั้งของตนเองและกลุ่ม
1.3 การจัดชั้นเรียนและสภาพแวดล้อม ควรจัดชั้นเรียนให้มีจำนวนนักเรียนพอเหมาะ ไม่มากเกินไป เพราะการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้นักเรียนมีบทบาทสำคัญในการเรียนรู้ทั้งรายบุคคลและกลุ่ม และครูจะต้องดูแลช่วยเหลือนักเรียนให้ทั่วถึงทุกคนหรือทุกกลุ่ม ซึ่งในการวิจัยครั้งนี้ผู้รายงานเลือกกลุ่มเป้าหมาย 1 ห้อง มีนักเรียนจำนวน 15 คน จัดเป็นกลุ่มย่อยกลุ่มละ 5 คน จำนวน 3 กลุ่ม ซึ่งมีความเหมาะสมในการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้
2. ข้อเสนอแนะสำหรับการวิจัยครั้งต่อไป
2.1 การนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ไปใช้ในการวิจัยรายวิชาต่าง ๆ ในกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หรือกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น ๆ สามารถทำได้ ซึ่งจะทำให้ได้สารสนเทศการวิจัยที่เป็นประโยชน์หลากหลายมากขึ้น
2.2 ควรนำรูปแบบการจัดการเรียนรู้โดยใช้ชุดการเรียนรู้ไปใช้ศึกษากับตัวแปรอื่น ๆ ที่นอกเหนือจากผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และความพึงพอใจ เช่น เจตคติต่อการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ความคงทนในการเรียนรู้ เป็นต้น
9. บรรณานุกรม
ชัยยงค์ พรหมวงศ์. กระบวนการสื่อการเรียนการสอน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
2543.
ชัยวัฒน์ สุทธิรัตน์. 80 นวัตกรรมการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ.
กรุงเทพฯ : แดเน็กซ์ อินเตอร์คอร์ปอเรชั่น, 2552.
ทิศนา แขมมณี. ศาสตร์การสอน : องค์ความรู้เพื่อการจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ.
พิมพ์ครั้งที่ 12. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2553.
ประพิศ ทรงวิชา. การพัฒนาชุดการเรียนการสอนโดยบูรณาการปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี หน่วยการเรียนรู้การปลูกไม้ดอก
ไม้ประดับ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 4. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาราชภัฏสกลนคร, 2553.
ภาคินี บุณยรัตพันธ์. การสร้างชุดการเรียนรู้ เรื่อง การถนอมอาหาร กลุ่มสาระการเรียนรู้
การงานอาชีพและเทคโนโลยี สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6.
วิทยานิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยขอนแก่น, 2552.
รัชนี ดวงสิทธิ์. การพัฒนาชุดการสอน เรื่อง งานประดิษฐ์จากผ้า กลุ่มสาระการเรียนรู้
การงานอาชีพและเทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 2552.
วัฒนาภรณ์ ดุจดา. การพัฒนาชุดการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
เรื่อง อาหารท้องถิ่นอีสาน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. วิทยานิพนธ์ครุศาสตรมหาบัณฑิต
มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี, 2553.
วาสนา ทวีกุลทรัพย์. (2551). หน่วยที่ 3 ชุดการสอนแบบกลุ่มกิจกรรม เอกสารการสอน
ชุดวิชาสื่อการศึกษาพัฒนสรร หน่วยที่ 1-7. พิมพ์ครั้งที่ 7.
นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ศึกษาธิการ, กระทรวง. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551.
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, 2551.
สุนันทา สุนทรประเสริฐ. การผลิตชุดการสอน. ราชบุรี : ธรรมรักษ์การพิมพ์, 2547.
สุวิทย์ มูลคำ และสุนันทา สุนทรประเสริฐ. การพัฒนาผลงานทางวิชาการสู่การเลื่อนวิทยฐานะ.
กรุงเทพฯ : ภาพพิมพ์, 2550.
สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน). พระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553. กรุงเทพฯ : สำนักงานรับรองมาตรฐาน
และประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การมหาชน), 2558.
อัมพร อานุภาพแสนยากร. การพัฒนาแผนกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้ชุดการสอนกลุ่มสาระ
การเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี เรื่อง การประดิษฐ์วัสดุ เป็นของประดับตกแต่ง
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6. ปริญญาศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยมหาสารคาม,
2552.