บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมาและความสำคัญของปัญหา
วิทยาการด้านต่างๆ ของโลกยุคโลกาภิวัตน์มีความเจริญก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจของโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องปรับปรุงหลักสูตรการศึกษาของชาติ ซึ่งถือเป็นกลไกสำคัญ ในการพัฒนาคุณภาพการศึกษา ของประเทศเพื่อสร้างคนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพพร้อมที่จะแข่งขันและร่วมมืออย่างสร้างสรรค์เรียนรู้ สถานศึกษา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในเวทีโลก การจัดการเรียนรู้ในรูปแบบปัจจุบันที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เป็นแนวคิดและยุทธศาสตร์อย่างหนึ่ง ที่มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้มีโอกาสคิดอย่างอิสระ สามารถรวบรวมความรู้ต่างๆ มาบูรณาการเข้าด้วยกัน จนสามารถสร้างเป็นองค์ความรู้ ทดลองและการนำไปใช้จนเกิดการค้นพบความรู้ด้วยตนเอง ครูมีหน้าที่ช่วยเหลือเฉพาะบางส่วน กิจกรรมร้อยละ 80 เป็นของผู้เรียน เพื่อให้เรียนแล้วรู้จริง ปฏิบัติได้อย่างมีความสุข และรักที่จะเรียนรู้ตลอดชีวิต กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ มุ่งเน้นจัดการเรียนการสอนที่เน้นประสบการณ์การเรียนรู้ ที่พัฒนาผู้เรียนให้เกิดการพัฒนาสมรรถภาพ บุคลิกลักษณะ ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออก ในเชิงสร้างสรรค์ เกิดการพัฒนาในตัวผู้เรียน โดยเฉพาะสาระที่ 3 นาฏศิลป์ เป็นสาระที่มุ่งเน้นส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ มีจินตนาการทางศิลปะ ชื่นชมความงามและมีสุนทรียภาพ ช่วยให้ผู้เรียนเป็นคนที่สมบูรณ์ ดำรงชีวิตได้อย่างมีคุณภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดี
ดังนั้น นาฏศิลป์ไทยเป็นแหล่งรวมศิลปะ เป็นที่รวมความเจริญ ของศิลปะทุกประเภท ทั้งความงดงามของท่าร่ายรำตามจังหวะ และทำนองเพลง ตลอดจนถ่ายทอดความรู้สึก ทางดนตรีอย่างอิสระ การแสดงสื่อความหมายด้วยบทเจรจา ท่าทาง และคำร้องลำนำ การร้องเพลง และเล่นดนตรีในรูปแบบต่างๆ ช่วยทำให้ผู้ชมได้สนุกสนาน อิ่มเอมกับสุนทรียรส และเกิดอารมณ์คล้อยตามไปกับการแสดง เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างนาฏศิลป์ กับประเพณีวัฒนธรรม และเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ นาฏศิลป์ไทยจึงเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของชาติ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้ถ่ายทอดไว้ เพื่อเยาวชนรุ่นหลังได้สืบทอดและรักษาเป็นศรีสง่าของชาติไทยสืบไป(กรมวิชาการ, 2544: 2)
สาระการเรียนรู้ศิลปะมุ่งพัฒนาให้ผู้เรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจ การคิดที่เป็นเหตุผล ถึงวิธีการทางศิลปะ ความเป็นมาของรูปแบบ ภูมิปัญญาท้องถิ่น และรากฐานทางวัฒนธรรม ค้นหาว่าผลงานศิลปะสื่อความหมายกับตนเอง ค้นหาศักยภาพ ความสนใจส่วนตัว ฝึกการเรียนรู้ การสังเกตที่ละเอียดอ่อนอันนำไปสู่การเกิดความซาบซึ้งในคุณค่าของศิลปะและสิ่งรอบตัว การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน มุ่งพัฒนาผู้เรียนทุกคน ซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึกในความเป็นพลเมืองไทย และเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้งเจตคติที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ การประกอบอาชีพ และการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่าทุกคนสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้เต็มตามศักยภาพ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 4)
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีความสุข มีศักยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จึงกำหนดเป็นจุดหมาย เพื่อให้เกิดกับผู้เรียนเมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผู้เรียนจะต้องมีคุณธรรม จริยธรรม และค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง มีวินัย และปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือยึดหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ผู้เรียนมีความรู้อันเป็นสากลและมีความสามารถในการสื่อสาร การคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี และมีทักษะชีวิต ผู้เรียนมีสุขภาพกาย และสุขภาพจิตที่ดี มีสุขนิสัย และรักการออกกำลังกาย ผู้เรียนมีความรักชาติ มีจิตสำนึกในความเป็นผลเมืองไทย และพลโลก ยึดมั่นในวิถีชีวิต และการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และผู้เรียนมีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิปัญญาไทย การอนุรักษ์ และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์และสร้างสิ่งที่ดีงามในสังคม และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 5) มาตรฐานการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งการพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุมาตรฐานการเรียนรู้ที่กำหนดนั้น จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดสมรรถนะสำคัญ 5 ประการ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 6-7)
1. ความสามารถในการสื่อสาร เป็นความสามารถในการรับและส่งสาร มีวัฒนธรรมในการใช้ภาษาถ่ายทอดความคิด ความรู้ความเข้าใจ ความรู้สึก และทัศนะของตนเองเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารและประสบการณ์อันจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาตนเองและสังคม รวมทั้งการเจรจาต่อรองเพื่อขจัด และลดปัญหาความขัดแย้งต่าง ๆ การเลือกรับหรือไม่รับข้อมูลข่าวสารด้วยหลักเหตุผลและความถูกต้อง ตลอดจนการเลือกใช้วิธีการสื่อสาร ที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบที่มีต่อตนเองและสังคม
2. ความสามารถในการคิด เป็นความสามารถในการคิดวิเคราะห์ การคิดสังเคราะห์ การคิด อย่างสร้างสรรค์ การคิดอย่างมีวิจารณญาณ และการคิดเป็นระบบ เพื่อนำไปสู่การสร้างองค์ความรู้หรือสารสนเทศเพื่อการตัดสินใจเกี่ยวกับตนเองและสังคมได้อย่างเหมาะสม
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา เป็นความสามารถในการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เผชิญได้อย่างถูกต้องเหมาะสมบนพื้นฐานของหลักเหตุผล คุณธรรมและข้อมูลสารสนเทศ เข้าใจความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ ในสังคม แสวงหาความรู้ ประยุกต์ความรู้มาใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหา และมีการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพโดยคำนึงถึงผลกระทบ ที่เกิดขึ้นต่อตนเอง สังคมและสิ่งแวดล้อม
4. ความสามารถในการใช้ทักษะชีวิต เป็นความสามารถในการนำกระบวนการต่างๆ ไปใช้ในการดำเนินชีวิตประจำวัน การเรียนรู้ด้วยตนเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง การทำงาน และการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วยการสร้างเสริมความสัมพันธ์อันดีระหว่างบุคคล การจัดการปัญหา และความขัดแย้ง ต่าง ๆ อย่างเหมาะสม การปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสภาพแวดล้อม และการรู้จักหลีกเลี่ยงพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ที่ส่งผลกระทบต่อตนเองและผู้อื่น
5. ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี เป็นความสามารถในการเลือก และใช้ เทคโนโลยีด้านต่าง ๆ และมีทักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี เพื่อการพัฒนาตนเองและสังคม ในด้านการเรียนรู้ การสื่อสาร การทำงาน การแก้ปัญหาอย่างสร้างสรรค์ ถูกต้องเหมาะสม และมีคุณธรรมในการจัดการศึกษา ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 จะเป็นช่วงของการศึกษาภาคบังคับ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานจะมุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้สำรวจความถนัดและความสนใจของตนเอง ส่งเสริมการพัฒนาบุคลิกภาพส่วนตน มีทักษะในการคิดอย่างมีวิจารณญาณ คิดสร้างสรรค์ และคิดแก้ปัญหา มีทักษะในการดำเนินชีวิต มีทักษะการใช้เทคโนโลยี เพื่อเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ มีความรับผิดชอบต่อสังคม มีความสมดุลทั้งด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม และมีความภาคภูมิใจ ในความเป็นไทย ตลอดจนใช้เป็นพื้นฐานในการประกอบอาชีพหรือการศึกษาต่อ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2552: 21)
ในการจัดการศึกษาของโรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระ นาฏศิลป์ ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ได้จัดการเรียนการสอนที่มุ่งเน้นการส่งเสริมให้ผู้เรียน มีความรู้ความสามารถตามความถนัดและความสนใจของตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคม และมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในด้านนาฏศิลป์ เพื่อสืบทอดภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ มุ่งพัฒนาผู้เรียนโดยตรงทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สติปัญญา อารมณ์และสังคม ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเชื่อมั่นในตนเอง และแสดงออกในเชิงสร้างสรรค์ ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดความตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนในการอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมของชาติ ทั้งนี้ผู้รายงานได้สังเกตและศึกษาปัญหาการเรียนรู้ ของผู้เรียนในด้านการจัดกระบวนการเรียนรู้ทางนาฏศิลป์ พบปัญหาดังนี้
1. ผู้เรียนขาดความกระตือรือร้นในการเรียน เนื่องจากสื่อการเรียนรู้ไม่มีความหลากหลาย
2. ผู้เรียนขาดความรู้ และทักษะในการหาความรู้ด้วยตัวเอง เนื่องจาก ผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้ได้ในช่วงเวลาเรียนที่กำหนดไว้
3. ผู้เรียนขาดความมั่นใจ ไม่กล้าแสดงออกในการแสดง จากสภาพปัญหาดังกล่าว มีส่วนทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน ทั้งด้านความรู้ และด้านทักษะในการเรียนรู้ทางด้านนาฏศิลป์ ค่อนข้างต่ำ ผู้รายงานจึงเห็นว่า ควรมีการปรับปรุงการจัดการเรียนรู้ ให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยผู้รายงานนำความรู้ที่ได้จากการศึกษา รวมทั้งการศึกษาจากทฤษฎีการเรียนรู้ต่างๆ มาวางแผนพัฒนาการเรียนการสอน โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรม และเรียนรู้ด้วยตนเองสร้างเสริมความกล้าแสดงออก ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ และเข้าใจในเนื้อหาสาระการเรียนมากยิ่งขึ้นโดยมีครูเป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ และคอยกระตุ้นในการดำเนินกิจกรรมของผู้เรียน ให้ดำเนินไปด้วยความราบรื่น และผู้เรียนยังสามารถศึกษาเรียนรู้ ฝึกฝนและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ได้ด้วยตนเองตามศักยภาพ
ผู้รายงานได้ศึกษาวิธีการจัดกิจกรรมต่างๆให้เหมาะสมกับเนื้อหาโดยจัดกิจกรรมการเรียนรู้ ด้วยการใช้แรงจูงใจให้ผู้เรียนเกิดความตั้งใจในการปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเหมาะสมมีความสุขสนุกสนาน มีประสิทธิภาพในการเรียนรู้ และปรับกระบวนการเรียน ให้เหมาะกับศักยภาพของผู้เรียน จึงได้จัดทำบทเรียนสำเร็จรูป กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่องรำสดุดีพระเจ้าตากสินที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ เป็นแหล่งข้อมูลในการค้นคว้าสำหรับผู้เรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะและนำไปเป็นสื่อประกอบการเรียนรู้ ซึ่งผู้รายงานได้จัดทำตามรูปแบบของบทเรียนสำเร็จรูปที่มีรูปภาพประกอบสวยงาม มีความชัดเจนของท่วงท่า และลีลาท่ารำที่ถูกต้อง เหมาะสม อีกทั้งข้อมูลและเนื้อหาในเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้นี้ ได้ศึกษาจากหลักสูตร ตำรา หนังสือ บทความ และได้ให้ผู้เชี่ยวชาญตรวจสอบความถูกต้อง มีความเหมาะสม ประกอบด้วย คำชี้แจง คำแนะนำ การใช้ มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระการเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน กิจกรรม แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบหลังเรียน และเอกสารอ้างอิง ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้อย่างสะดวก รวดเร็ว โดยครูผู้สอนเป็นผู้จัดเตรียมเอกสารไว้ให้แก่ผู้เรียน ประกอบด้วย แบบฝึกหัดหรือใบงาน ที่มีความหลากหลายรูปแบบ ทั้งอัตนัย ปรนัย การเขียนบรรยาย และการทดสอบปฏิบัติ ผู้เรียนสามารถศึกษา และปฏิบัติกิจกรรมได้ด้วยตนเอง โดยการทำกิจกรรมต่างๆ ตามที่กำหนดในแต่ละขั้นตอน บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องรำสดุดีพระเจ้าตากสิน นับเป็นเทคนิคและวิธีการในการแสดงทางด้านนาฏศิลป์ไทยที่สวยงาม ควรค่าแห่งการเรียนรู้ ซึ่งเหมาะสมอย่างยิ่งในการใช้เป็นสื่อทางการเรียนรู้ของผู้เรียนอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้เรียนได้นำไปใช้เป็นพื้นฐานในการศึกษาต่อในระดับที่สูงขึ้น
วัตถุประสงค์ของการศึกษา
1. เพื่อสร้างและหาประสิทธิภาพของบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล กองการศึกษา เทศบาลนครระยอง
2. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล กองการศึกษา เทศบาลนครระยองก่อนเรียนและหลังการเรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล กองการศึกษา เทศบาลนครระยอง ที่มีต่อการเรียน โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
สมมติฐานการศึกษา
1. บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ที่กำหนด คือ 80/80
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ของผู้เรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ที่เรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5หลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติระดับมาก
3. ความพึงพอใจของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพลที่เรียนโดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 อยู่ในระดับมาก
ขอบเขตของการศึกษา
ในการศึกษาผลการใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ครั้งนี้ผู้รายงานได้กำหนดขอบเขตของการศึกษาไว้ ดังนี้
ขอบเขตของเนื้อหา
เนื้อหาในการศึกษาครั้งนี้ ได้แก่ แบบเรียนสำเร็จรูป เรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ จำนวน 4 เล่ม เนื้อหา แบ่งเป็น 4 บท ได้แก่
นาฏยศัพท์
ภาษาท่านาฏศิลป์
นาฏศิลป์ไทยสร้างสรรค์
การแสดงประกอบเพลงระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษา
กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในการศึกษามีประชากรและกลุ่มตัวอย่างดังนี้ คือ ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 102 คน
ตัวแปรที่ใช้ในการศึกษา
3.1 ตัวแปรต้น คือ การจัดการเรียนรู้โดยใช้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3.2 ตัวแปรตาม ได้แก่
3.2.1 ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
3.2.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระ นาฏศิลป์
3.2.3ความพึงพอใจผู้เรียนที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
4. ระยะเวลาที่ศึกษา
ใช้ระยะเวลาทำการศึกษา ระหว่างวันที่ 16 พฤษภาคม 2559 ถึงวันที่ 8 ตุลาคม 2559 โดยใช้ควบคู่กับแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 14 แผน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
1. ได้บทเรียนสำเร็จรูปเรื่องระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีประสิทธิภาพเป็นไปตามเกณฑ์ที่กำหนด
2. ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถในการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ มีเจตคติ ที่ดีต่อการเรียน รวมถึงนำองค์ความรู้ ความสามารถไปประยุกต์ใช้ได้ตามความเหมาะสม อย่างมีประสิทธิภาพ
3. สามารถพัฒนาการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิชาศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
4. เป็นแนวทางในการสร้างบทเรียนสำเร็จรูป ในหัวข้ออื่นของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะและกลุ่มสาระการเรียนรู้อื่น
นิยามศัพท์เฉพาะ
1. บทเรียนสำเร็จรูป หมายถึง เอกสารที่บรรจุเนื้อหาที่ใช้ประกอบการเรียนรู้ของแต่ละแผนการจัดการเรียนรู้ ของกลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 เรื่อง เพลงระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผู้รายงานได้จัดทำขึ้นจำนวน 1 เล่ม ภายในเล่ม ประกอบด้วยคำแนะนำการใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ และเนื้อหาจำนวน 4 บท ในแต่ละบทประกอบด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรียนรู้ แบบทดสอบก่อนเรียน เฉลยแบบทดสอบก่อนเรียน กิจกรรม แบบทดสอบหลังเรียน เฉลยแบบทดสอบหลังเรียนและเอกสารอ้างอิง
2. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หมายถึง ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนทั้งด้านความรู้และทักษะปฏิบัติที่เกิดจากการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ ของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่ผ่านการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เพลงระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งได้มาโดยการทดสอบผู้เรียนจากแบบทดสอบที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 30 ข้อ และแบบประเมินทักษะปฏิบัติ จำนวน 6 ข้อ ใช้สำหรับประเมินทักษะการปฏิบัติในเชิงการแสดงนาฏศิลป์ของผู้เรียน
3. ความพึงพอใจ หมายถึง ความรู้สึกนึกคิดของผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ที่มีต่อการเรียนโดยใช้เอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่องเพลงระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งวัดจากแบบสอบถาม ความพึงพอใจของผู้เรียนที่ผู้รายงานสร้างขึ้น จำนวน 10 ข้อ
4. ประสิทธิภาพของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง ระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5หมายถึง ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้วยเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ เรื่อง เพลงระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 ซึ่งวัดภาคความรู้และประเมินผลจากสภาพจริงแล้ว ปรากฏผลเป็นไปตามเกณฑ์ 80/80
80 ตัวแรก หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทุกคน ที่ทำได้ระหว่างเรียนจากคะแนนแบบทดสอบของเอกสารประกอบการจัดการเรียนรู้ ในแต่ละบทโดยได้คะแนนเฉลี่ย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
80 ตัวหลัง หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยของผู้เรียนทุกคนที่ทำได้ หลังการเรียน จากการทำแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน กลุ่มสาระการเรียนรู้ศิลปะ สาระนาฏศิลป์ โดยได้คะแนนเฉลี่ย ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 80
5. ผู้เรียน หมายถึง ผู้เรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนเทศบาลวัดลุ่มมหาชัยชุมพล กองการศึกษา เทศบาลนครระยอง ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2559 จำนวน 102 คน
6. ทักษะการปฏิบัติ หมายถึง ความสามารถในการแสดงการร่ายรำ และลีลาท่าทางรำสดุดีพระเจ้าตากสิน โดยพิจารณามาจาก การเคลื่อนไหวมือและแขน การเคลื่อนไหวลำตัวการเคลื่อนไหวเท้า และความสัมพันธ์ระหว่างท่ารำกับลีลาการเคลื่อนไหวของร่างกาย ซึ่งวัดจากแบบประเมินทักษะการปฏิบัติที่ผู้รายงานได้สร้างขึ้น เพื่อใช้ประเมินทักษะการรำ ประกอบเพลงระบำสดุดีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ที่มีผลต่อการเรียนนาฏศิลป์ของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 5