การพัฒนานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการเขียน และการอ่าน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ
นายวีระยุทธ แก้วแจ่มศรี
โรงเรียนบ้านป่าต้าก อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
Best Practice
การพัฒนานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการเขียน และการอ่าน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ
1. ข้อมูลทั่วไปของผู้พัฒนา Best Practice
1.1 ชื่อผู้พัฒนา Best Practice ชื่อ-สกุล นายวีระยุทธ แก้วแจ่มศรี
1.2 โรงเรียนบ้านป่าต้าก อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย
สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาเชียงราย เขต 2
2. เป้าหมาย/วัตถุประสงค์ของการพัฒนา Best Practice
2.1 เพื่อพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียน ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ
2.2 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่มีต่อการพัฒนาทักษะการอ่าน และโดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ
2.3 เพื่อพัฒนาเด็กพิการเรียนร่วม ให้มีทักษะชีวิต อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข
3. ระยะเวลาในการพัฒนา Best Practice
การพัฒนาตั้งแต่เดือน พฤษภาคม 2560 กรกฎาคม 2560
4. ความเชื่อมโยง/สัมพันธ์ระหว่าง Best Practice กับเป้าหมาย/จุดเน้นของสพฐ. และสถานศึกษา
เชื่อมโยงกับเป้าหมายการดำเนินงานของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มี
จุดเน้นการขับเคลื่อนการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ ระยะ 3 ปี ตั้งแต่ปี 2557-2559 ประกอบด้วย 9 เรื่อง ได้แก่
1. พัฒนาระบบฐานข้อมูลคนพิการของทุกหน่วยงานในปัจจุบันอยู่บนฐานข้อมูลเดียวกัน
2. การให้บริการช่วยเหลือระยะแรกเริ่ม เพื่อให้คนพิการได้รับโอกาสเข้าถึงการบริการทางการศึกษา
ตั้งแต่แรกเกิด หรือพบความพิการ
3. การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม เพื่อการขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับคนพิการ ตามหลักการ
ศึกษาเพื่อปวงชน
4. การจัดการศึกษาเพื่อการมีงานทำ เพื่อให้คนพิการทุกคนมีสิทธิและความเท่าเทียมในการประกอบอาชีพพึ่งพาตนเองได้
5. เพิ่มและพัฒนาครู และ บุคลากรทางการศึกษา ให้เพียงพอและสามารถจัดบริการทางการศึกษาให้กับเด็กพิการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
6. การจัดการศึกษาทางเลือกอื่นที่เอื้อต่อความต้องการจำเป็นพิเศษของคนพิการ
7. เทคโนโลยีสิ่งอำนวยความสะดวกด้านการศึกษาสำหรับคนพิการทุกคนอย่างมีคุณภาพ
8. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการจัดการศึกษาสำหรับคนพิการ และ
9. กองทุนส่งเสริมและพัฒนาการศึกษาสำหรับคนพิการ ทำหน้าที่สนับสนุนการจัดการศึกษาคนพิการในทุกรูปแบบ
เชื่อมโยงกับเป้าประสงค์ (Goal) การดำเนินงานของโรงเรียนบ้านป่าต้าก ดังนี้
1. ผู้เรียนมีคุณธรรม จริยธรรม ความสำนึกในความเป็นไทย และวิถีชีวิตตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง
2. ครู และบุคลากรทางการศึกษา มีความรู้ความสามารถและทักษะตามสมรรถนะและสามารถปฏิบัติงานได้ตามมาตรฐานวิชาชีพ
3. โรงเรียนมีหลักสูตรสถานศึกษาที่ส่งเสริมความเป็นเลิศทางวิชาการ ตอบสนองความต้องการของผู้เรียน ชุมชน และสังคม
4. โรงเรียนพัฒนาสื่อ เทคโนโลยี และนวัตกรรมทางการศึกษา เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูและนักเรียนใช้ในการจัดการศึกษาที่มีคุณภาพ
5. โรงเรียนมีการจัดกระบวนการเรียนการสอน กิจกรรมการเรียนรู้ การวัดและประเมินผลที่มีคุณภาพ ที่เอื้อต่อการพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้าน
5. แนวคิด หลักการ ทฤษฎีที่นำมาใช้ในการพัฒนา Best Practice
การพัฒนานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการเขียนและการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ ได้ศึกษาแนวคิด หลักการ ทฤษฎีต่างๆที่สอดคล้องกับการพัฒนานวัตกรรมให้มีประสิทธิภาพ ดังนี้
1.การบริหารจัดการเรียนร่วมโดยใช้โครงสร้าง SEAT ดังนี้
1.1 S : Student ด้านนักเรียน การเตรียมความพร้อมที่มีความจำเป็นต้องการพิเศษ
1. เตรียมคัดกรองแยกประเภทความพิการ
2. ประเมินพื้นฐานความพร้อมของนักเรียน
3. วางแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล ( IEP )
4. จัดทำแผนการสอนรายบุคคล ( IIP )
5. ดำเนินการพัฒนาเด็กตามแผนการสอนรายบุคคล
เด็กที่มีความต้องการพิเศษได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม โดยเด็กปกติคอยช่วยเหลือดูแล แบบเพื่อนช่วยเพื่อน ทำให้นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษมีพัฒนาการด้านต่างๆ ดีขึ้น สามารถเรียนร่วมในห้องเรียนปกติได้
สภาพโรงเรียนเหมาะสมเอื้อต่อการพัฒนาผู้เรียน บรรยากาศห้องเรียนให้ลดข้อจำกัดของผู้เรียนโดยมีมุม ต่างๆ ในการทำกิจกรรม ได้รับความช่วยเหลือร่วมมือดูแลเอาใจใส่จากครูผู้สอน ครูชั้นเรียนปกติตลอดทั้ง บุคลากรและองค์กรต่างๆในชุมชน
1.2 E : Environment ด้านสภาพแวดล้อม
ด้านอาคารสถานที่
1. ได้ดำเนินการจัดทำโครงการห้องเสริมวิชาการสำหรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยได้รับงบประมาณสนับสนุน
2. จัดสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยในการเรียนการสอน
3. จัดให้มีแหล่งเรียนรู้ ในบริเวณโรงเรียน
ด้านบุคลากร
1. มีการแต่งตั้งคณะกรรมการการจัดการศึกษาพิเศษในโรงเรียนโดยมีบุคลากรในชุมชน องค์กรการ ปกครองในท้องถิ่น คณะครู ผู้ปกครองเข้าร่วมเป็นกรรมการ
2. มีเครือข่ายในการจัดการศึกษา
1.3 A: Activities ด้านกิจกรรมและการจัดการเรียนการสอน
1. ได้ดำเนินการจัดทำหลักสูตร โดยยึดหลักสูตรสถานศึกษาเป็นหลัก และนำมาปรับให้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีความต้องการจำเป็นพิเศษ
2. จัดทำแผนการศึกษาเฉพาะบุคคล
3. จัดทำแผนการสอนรายบุคคล เพื่อใช้ในการพัฒนานักเรียนให้มีความพร้อม และ ปรับปรุงการเรียนการ สอน ให้นักเรียนได้เรียนรู้ตามศักยภาพของตนเอง
1.4 T: Tools ด้านเครื่องมือ
จากนโยบาย วิสัยทัศน์ พันธกิจ เกี่ยวกับการให้การศึกษาสำหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ ด้วยการ การจัดหาสื่อ เทคโนโลยี สิ่งอํานวยความสะดวก ตามความเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละประเภท การจัดระบบข้อมูล นักเรียนที่มีความต้องการพิเศษในด้านต่างๆ เพื่อนํามาวางแผนในการจัดการศึกษาการพัฒนา ส่งเสริม บุคลากรในโรงเรียนเกี่ยวกับการจัดการเรียนร่วม การประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อขอรับการ สนับสนุนสําหรับนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ
2. แนวคิดและปรัชญาของการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
การจัดการศึกษาแบบเรียนรวม จะต้องร่วมมือกันระหว่างองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐ เอกชน รวมทั้งผู้ปกครองและชุมชน โดยปลูกฝังด้านจิตสำนึกและเจตคติเกี่ยวกับการจัดการศึกษาให้แก่เด็กทุกคนโดยคำนึงถึงศักยภาพความแตกต่างระหว่างบุคคล หรือความบกพร่องเฉพาะบุคคล ซึ่งจะให้สิทธิเท่าเทียมกันทุกคน โดยไม่เลือกปฏิบัติต่อบุคคลใดเป็นพิเศษเฉพาะ
3. ลักษณะเด็กที่มีปัญหาทางการเรียนรู้
ความบกพร่องทางการเรียนรู้หมายถึงความบกพร่องเกี่ยวกับกระบวนการทางจิตวิทยา ซึ่งทำให้มี ปัญหาในการเรียนรู้ด้านการอ่าน การเขียน การคิดคำนวณ หรือ คณิตศาสตร์ร่วมกับบุคคลที่มีความบกพร่องจากการได้รับบาดเจ็บหรือกระทบกระเทือนระบบประสาทส่วนกลาง (Brain injury) แต่ไม่รวมถึงผู้ที่มีปัญหาที่เกิด จากความบกพร่องทางการได้ยิน ทางการเห็น ทางสติปัญญารวมถึงความบกพร่องทางอารมณ์และเสียเปรียบทาง สภาพแวดล้อม
4. หลักการวัฏจักรเดมิ่ง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 การวางแผน (Plan P)
ขั้นที่ 2 การปฏิบัติตามแผน (Do D)
ขั้นที่ 3 การตรวจสอบผลการปฏิบัติ (Check C)
ขั้นที่ 4 การแก้ไขปัญหา (Act A)
5. ทฤษฎีความต้องการ 5 ขั้นของมาสโลว์ มีขั้นตอนดังนี้
- ความต้องการทางด้านร่างกาย (Physiological needs)
- ความต้องการความปลอดภัย (Safety needs)
- ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Belongingness and Love needs)
- ความต้องการได้รับความนับถือยกย่อง ( Self-Esteem needs)
- ความต้องการที่จะเข้าใจตนเองอย่างแท้จริง (Self-Actualization needs)
6.เทคนิคการสอนเด็กที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในชั้นเรียนร่วม
การเรียนรู้ของเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ ผ่านกระบวนการทำงานของสมอง และพบว่าความบกพร่องทางกระบวนการเรียนรู้ ส่วนหนึ่งมาจากความบกพร่องในขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่งของสมอง จึงส่งผลกระทบต่อการเรียนรู้ ดังนั้น วิธีการจัดการเรียนรู้หรือการหาช่องทางการสอนที่สอดคล้องกับปัญหาของเด็ก จะเป็นวิธีการที่จะช่วยให้เด็กเรียนรู้ได้ โดยมีหลักการที่เหมาะสม ดังนี้
หลักการทั่วไป
1. สอนจากสิ่งที่ง่ายที่สุดก่อน การเริ่มต้นที่ดีควรเริ่มสอนในสิ่งที่ต่ำกว่าความสามารถของเด็ก เล็กน้อย เพื่อให้เด็กมีกำลังใจ มั่นใจ และพร้อมจะเรียนในระดับยากต่อไปได้
2. ให้เด็กมีความสุขในการเรียน เด็กที่มีความสุขในการเรียนจะมองคนในแง่ดี และสามารถสร้าง
วามสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนและครูได้
3.ให้การเสริมแรงอย่างสม่ำเสมอ คำชมจากครูเป็นสิ่งสำคัญเด็กจะรู้สึกมีกำลังใจและพยายาม
มากขึ้น
4.ให้เด็กเรียนจากเพื่อน (เพื่อนช่วยเพื่อน) เพราะเด็กเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ เรียนรู้คนเดียวได้ไม่ดี แต่จะเรียนรู้ได้เมื่อเรียนกับเพื่อน
5.จัดห้องเรียนให้เอื้อต่อการเรียน เด็กเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ ส่วนใหญ่จะมีอาการสมาธิสั้นร่วมด้วย ห้องเรียนจึงควรมีความเป็นระเบียบ สวยงาม มีเสียงรบกวนจากภายนอกน้อยที่สุด
6.มองหาจุดเด่นของเด็ก ส่งเสริมให้เด็กแสดงความสามารถพิเศษ หรือเป็นคนเก่งในจุดที่เด็ก
มีศักยภาพ
7.สอนโดยการเน้นย้ำซ้ำทวน เด็กเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ จะเรียนรู้ช้า เรียนได้หน้าลืมหลัง ครูควรใช้วิธีการกระตุ้นความจำ เช่น ให้เด็กทำกิจกรรมนั้นซ้ำบ่อย ๆ ด้วยวิธีการรับรู้ที่หลากหลายจากการดู การฟังการสัมผัส
8. ใช้คำสั่งที่สั้นและเข้าใจง่าย ในหนึ่งคำสั่งไม่ควรให้ทำหลาย ๆ กิจกรรม และให้เด็กทบทวน
คำสั่งก่อนลงมือปฏิบัติ
9. พยายามให้ความช่วยเหลือ เนื่องจากเด็กมักขาดวินัย ขาดความรับผิดชอบ ขาดการจัดลำดับ
และมักไม่รอบคอบ ครูผู้สอนควรให้ความช่วยเหลือ
10. ให้เวลามากขึ้น เนื่องจากเด็กจะทำงานช้า เรียนช้า การให้ทำการบ้านและการทำแบบฝึกหัด
จึงควรมีเวลาให้เด็กมากกว่าเด็กทั่วไป
11. มอบงานให้เหมาะสม การมอบให้เด็กทำงานแต่ละครั้งไม่ควรให้ครั้งละ มากๆ แต่อาจมอบบ่อยขึ้น (เพื่อให้เท่ากับเด็กคนอื่น )
12. สรุปเรื่องก่อนสอน เด็กจะเรียนรู้ได้ดีขึ้นหากมีการสรุปเรื่องที่จะเรียนให้เด็กฟังก่อนที่จะเรียน
เรื่องนั้นๆ
13. ใช้อุปกรณ์ช่วย อนุญาตให้เด็กใช้เครื่องคิดเลข คอมพิวเตอร์ เทปบันทึกเสียง เพื่อช่วยให้เด็ก
สามารถเรียนรู้ได้
14. ให้เรียนรู้จากการปฏิบัติ เด็กเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ เรียนรู้จากการลงมือปฏิบัติและร่วมกิจกรรมมากกว่าการฟังการสอนจากครู
15. ปรับเอกสารการเรียนการสอน เนื่องจากเด็กเด็กบกพร่องทางการเรียนรู้ มีปัญหาการรับรู้ทางสายตาเอกสารการเรียนการสอนต่างๆ จึงควรมีการปรับให้เหมาะสม เช่น พิมพ์ขนาดตัวอักษรขนาดใหญ่ขึ้น เน้นคำข้อความสำคัญในหนังสือ ให้ทำแบบฝึกหัดคณิตศาสตร์ลงในกระดาษกราฟ หรือให้เขียนใน
กระดาษที่มีเส้นบรรทัด เป็นต้น
7. หลักการใช้เทคนิค 3R
เทคนิค 3R หมายถึง เทคนิคที่นำมาใช้จัดกิจกรรมหรือสร้างประสบการณ์ทางการเรียนรู้ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ให้เกิดประสิทธิภาพ ได้แก่
Repettition การสอนแบบให้ทำซ้ำ ๆ ทฤษฎีการฝึกหัดและใช้เวลาสอนมากกว่าเด็กปกติเมื่อมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์แล้วจึงเปลี่ยนจุดประสงค์การเรียนรู้ใหม่
Relaxtion สอนแบบไม่ตึงเครียด ผ่อนคลาย ยืดหยุ่นเปลี่ยนกิจกรรมจากวิชาการเป็นกิจกรรมนันทนาการ สลับไปมา
Routine งานสอนประจำ สอนสม่ำเสมอ
8.สื่อ 3 มิติ
สื่อ 3 มิติ หมายถึง สื่อการสอนที่ครูสร้างขึ้นเพื่อพัฒนาทักษะความสามารถในการอ่าน และการเขียนของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ เช่น ลูกเต๋า ก-ฮ, ลูกเต๋า สระ, ลูกเต๋าวรรณยุกต์, แถบพยัญชนะ สระ ประสมคำ ,บิงโกสระ พยัญชนะ , แบบฝึกอ่านมาตราตัวสะกดที่มีภาพประกอบ ,ใบงานที่มีการวาดภาพ ระบายสี ตัดแปะ, วงล้อสะกดคำ, บัตรคำ ใช้เล่นเกมต่อคำ เป็นต้น นักเรียนจับต้องได้ สามารถเรียนรู้จำนวนผ่านการเล่น ทำให้นักเรียนเข้าใจง่ายและเรียนรู้อย่างมีความสุข
6. กระบวนการพัฒนา Best Practice
6.1 กลุ่มเป้าหมายในการนำ Best Practice ไปใช้
นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 ปีการศึกษา 2560 จำนวน 6 คน
6.2 ขั้นตอนการพัฒนา Best Practice แบ่งเป็น 3 ขั้น
ขั้นที่ 1 การสร้างและทดลองใช้เครื่องมือ
ขั้นที่ 2 การนำนวัตกรรมไปใช้กับกลุ่มตัวอย่าง
ขั้นที่ 3 การประเมินผลการดำเนินการ
6.3 การตรวจสอบคุณภาพ Best Practice
1. ประเมินนักเรียนโดยใช้ใบงาน/แบบทดสอบ /ผลงานนักเรียน
2. สังเกตพฤติกรรมนักเรียนในการร่วมทำกิจกรรม
3. ประเมินความพึงพอใจของนักเรียน
6.4 แนวทางการนำ Best Practice ไปใช้ประโยชน์
1. นำสื่อ 3 มิติที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ไปใช้พัฒนาการอ่านและการเขียนสะกดคำของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้
2. นำสื่อ 3 มิติที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ไปใช้พัฒนาทักษะการเขียนคำ การเขียนประโยคอย่างง่ายได้
3 นำสื่อ 3 มิติที่สร้างขึ้นในครั้งนี้ไปใช้สร้างแรงจูงใจใฝ่เรียนรู้ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้โดยเปลี่ยนรูปแบบกิจกรรมวิชาการมาเป็นนันทนาการ ทำให้นักเรียนมีความสุขในการเรียนรู้และภูมิใจในความสามารถของตนเอง
4. เป็นแบบอย่างการพัฒนาสื่อที่ทันสมัย แปลกใหม่และนำไปใช้พัฒนานักเรียนที่มีความบกพร่องทาง การเรียนรู้ได้จริงในการพัฒนาการอ่าน และ การเขียน ของนักเรียนให้ดีขึ้น
7. ผลสำเร็จที่เกิดจากการพัฒนา Best Practice
7.1 เชิงปริมาณ
การพัฒนานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการเขียนและการอ่าน ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 2 โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียน ของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้ โดยผ่านเกณฑ์ร้อยละ 84
7.2 เชิงคุณภาพ
นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้มีความพึงพอใจต่อการพัฒนาทักษะการอ่านและการเขียน โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ โดยภาพรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมากที่สุด และมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 4.94
7.3 ความพึงพอใจของผู้เกี่ยวข้องต่อ Best Practice
จากแบบประเมินความพึงพอใจของผู้ปกครอง ครูผู้สอน และนักเรียนมีความพึงพอใจใน
การพัฒนานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ด้านการเขียนและการอ่าน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 2 โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ คิดเป็นร้อยละ 100
7.4 ปัจจัยความสำเร็จของการพัฒนา Best Practice
ผู้บริหาร คณะครู ผู้ปกครองมีความตระหนักและเห็นความสำคัญในการพัฒนานักเรียนที่มี ความต้องการจำเป็นพิเศษ และเชื่อมั่นว่า นักเรียนทุกคนสามารถพัฒนาได้ และ โรงเรียนควรจัดสื่อหรือนวัตกรรมที่สนองต่อความต้องการจำเป็นพิเศษของนักเรียนแต่ละคน รวมทั้งมุ่งเน้นจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อ คนทุกคน (Education for all) ตามปรัชญาการจัดการศึกษาแบบเรียนร่วม
8. กระบวนการตรวจสอบซ้ำเพื่อพัฒนาปรับปรุง Best Practice ให้เกิดผลดีอย่างต่อเนื่อง
8.1 วิธีการตรวจสอบซ้ำ BP
ประเมินและตรวจสอบคุณภาพของ Best Practice โดยจัดตั้งคณะกรรมการนิเทศ ตรวจสอบ ภาคเรียนละ 1 ครั้ง
8.2 ผลการตรวจสอบซ้ำเพื่อการพัฒนา
นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ สามารถพัฒนาทักษะการอ่าน และการเขียน โดยใช้เทคนิค 3R กับสื่อ 3 มิติ ในการอ่านแจกลูกสะกดคำและการเขียนคำได้ถูกต้อง และใช้ระยะเวลาในการอ่านน้อยลง และเด็กบางคนสามารถเสนอแนะเพื่อนได้