บทคัดย่อ
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 4 ข้อ ดังนี้ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 2) เพื่อสร้างรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 3) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 4) เพื่อประเมินรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย แบ่งตามขั้นตอนของ การวิจัย และวิธีวิจัยดังนี้ ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่างในการวิจัย จากการสัมภาษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 2 จำนวน 9 คน ศึกษานิเทศก์ จำนวน 17 คน ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนต้นแบบเรียนรวม จำนวน 5 คน ครูผู้สอนที่สอนการศึกษาพิเศษชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ในโรงเรียนต้นแบบเรียนรวม จำนวน 5 คน รวมทั้งสิ้น 36 คน เลือกประชากรทั้งหมดเป็นกลุ่มตัวอย่างโดยการเลือกแบบเจาะจง (Purposive Sampling) (บุญชม ศรีสะอาด. 2545: 38) กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการแบบสอบถามความต้องการการนิเทศการสอนของครู จำนวน 132 คน ประกอบด้วย ครูผู้สอน ในโรงเรียนทั่วไปจัดการเรียนร่วมและเรียนรวม จำนวน 132 คน กลุ่มตัวอย่างได้มาโดยการเลือกแบบเจาะจง ใช้ตารางสำเร็จรูปของเครอซีและมอร์แกน (Krejcie and Morgon อ้างใน สิน พันธ์พินิจ 2555 : 212-213) ขั้นที่ 2 สร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศโดยเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มเป้าหมาย จำนวน 17 คน 1) กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ให้ข้อมูลใช้ในการกำหนดองค์ประกอบในการสร้าง และพัฒนารูปแบบการนิเทศ ได้แก่ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการศึกษาพิเศษเรียนรวม จำนวน 4 ท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการนิเทศการศึกษา จำนวน 3 ท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการวัดผลและประเมินผล จำนวน 2 ท่าน ผู้ทรงคุณวุฒิด้านหลักสูตร จำนวน 3 ท่าน รวม 12 ท่าน 2) กลุ่มเป้าหมายที่ใช้ในทำการตรวจสอบคุณภาพและความเหมาะสม ของรูปแบบการนิเทศ จำนวน 5 ท่าน ผู้เชี่ยวชาญด้านหลักสูตร ด้านกระบวนการเรียนการสอน ด้านการวัดผลและประเมินผล ด้านการนิเทศการศึกษา และด้านการจัดการศึกษาพิเศษ จำนวน 5 ท่าน ขั้นที่ 3 การทดลองใช้รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง ในโรงเรียนต้นแบบเรียนรวม จำนวน 5 โรงเรียน จำนวน 37 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษา จำนวน 5 คน ครูผู้สอนการศึกษาพิเศษ จำนวน 5 คน นักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 27 คน ขั้นที่ 4 การประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 กลุ่มตัวอย่าง จำนวน 145 คน ได้แก่ ผู้บริหารสถานศึกษาโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนร่วม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่นเขต 2 จำนวน 24 คน ครูผู้สอนที่สอนการพิเศษชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 24 คน รวมทั้งสิ้น 48 คน และนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นปะถมศึกษาปีที่ 3 ที่กำลังศึกษาปีการศึกษา 2558 จำนวน 97 คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ประกอบด้วย 1) แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างเกี่ยวกับสภาพปัญหาและการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 จำนวน 5 ข้อ 2) แบบสอบถามความต้องการการนิเทศการสอนของครู สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม จำนวน 29 ข้อ 3) แบบบันทึกการสนทนากลุ่ม (Focus Group) 4) แบบประเมินความสอดคล้องของผู้เชี่ยวชาญ 5) แบบประเมินเกี่ยวกับผลการจัดกิจกรรมตามแนวทางการปรับหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 34 ข้อ 6) แบบประเมินรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 จำนวน 25 ข้อ 7) แบบประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนนักเรียนบกพร่องทางการเรียนรู้ภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 จำนวน 30 ข้อ 8) แบบประเมินความพึงพอใจของครูผู้สอนและผู้บริหารสถานศึกษาที่มีต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 จำนวน 8 ข้อ วิเคราะห์ข้อมูล ดังนี้ ใช้การวิเคราะห์เนื้อหา ตามจุดมุ่งหมาย และกรอบแนวคิดในการพัฒนาโดยวิธีการพรรณนาวิเคราะห์ (Descriptive Analysis) ข้อมูลเชิงปริมาณ วิเคราะห์โดยโปรแกรมคอมพิวเตอร์สำเร็จรูป เพื่อหาค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบค่า t test และค่าร้อยละ หาค่าความยากง่าย และค่าอำนาจจำแนก ค่าความเชื่อมั่นของแบบประเมินผลสัมฤทธิ์
ผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. ผลจากศึกษาสภาพปัญหาและความต้องการพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2
1.1 ผลการสัมภาษณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่ ศึกษานิเทศก์ และตัวแทนผู้บริหารสถานศึกษา เรื่อง สภาพปัญหาและความต้องการการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ สรุปผลการสัมภาษณ์ พบว่า สาเหตุในการจัดการเรียนรู้สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ให้มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพนั้น มีปัจจัยและองค์ประกอบที่สำคัญคือ การจัดทำแนวทางการพัฒนาหลักสูตรให้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้จะทำเกิดประสิทธิภาพของครูผู้สอน และกระบวนการนิเทศและเทคนิควิธีการนิเทศของศึกษานิเทศก์ และเครือข่ายนิเทศ
1.2 ผลจาการสำรวจต้องการการนิเทศการสอนของครู สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวมโดยรวม ของครูผู้สอน มีความต้องการโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด 3 ลำดับแรก พบว่า ลำดับแรกคือ ความต้องการด้านหลักสูตร รองลงมา คือ ความต้องการด้านการนิเทศการศึกษา ลำดับที่ 3 คือความต้องการด้านกระบวนการเรียนการสอน
2 ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2
2.1 ผลและการวิเคราะห์การสนทนากลุ่ม (Focus Group) พบว่า หลักสูตรเปรียบได้กับหัวใจของการศึกษาซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นโครงร่างที่กำหนดไว้ว่าจะให้นักเรียนได้รับประสบการณ์จึงจะเป็นประโยชน์ต่อเด็กและสังคม โดยเฉพาะเมื่อใช้หลักสูตรเป็นแนวทางในการจัดการเรียนการสอนแก่ผู้เรียนแล้ว ดังนั้นหลักสูตรจึงเป็นเสมือนเบ้าหลอมเหมาะสมการพัฒนาผู้เรียนให้ได้เรียนรู้เต็มตามศักยภาพมีคุณภาพ และมีรูปแบบการนิเทศ กระบวนการนิเทศ เทคนิคการนิเทศที่เป็นระบบต่อเนื่องมีคณะกรรมการเพื่อให้การนิเทศอย่างทั่วถึง ช่วยเหลือครูอย่างหลากหลายวิธี มีการสะท้อนผลการนิเทศ เพื่อให้ครูได้นำมาปรับปรุงการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งทำให้ครูมีทิศทางในการพัฒนานักเรียน มีการวัดผลและประเมินผลตรงตามศักยภาพของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ทำให้มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนมากขึ้น
2.2 ผลการสร้างและพัฒนารูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 พบว่า โดยภาพรวมผู้เชี่ยวชาญเห็นสอดคล้องไปในแนวทางเดียวกันว่า องค์ประกอบที่นำมาสร้างรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ที่เสนอมานั้นเพียงพอแล้ว การตั้งชื่อรูปแบบให้สื่อกับแนวคิดในการวิจัย และควรแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ขององค์ประกอบต่าง ๆ รูปแบบ
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียน
ที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2
โดยผู้ทรงคุณวุฒิพิจารณาเห็นว่า รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 มีความสอดคล้องกันในทุกประเด็นโดยมีค่าดัชนีความสอดคล้องอยู่ในระดับสูง คือตั้งแต่ 0.80 ถึง 1.00 ซึ่งมีองค์ประกอบ ดังนี้ การนิเทศแบบPIDRE ประกอบด้วย 5 ขั้นตอน 1) วางแผนดำเนินการ (Planning-P) 2) สานสร้างความรู้สู่การปฏิบัติ (Informing- I) 3) ชี้ชัดด้วยการนิเทศติดตาม (Doing -D) 4) สร้างเสริมขวัญกำลังใจ (Reinforcing-R) 5) ถามไถ่ประเมินผล (Evaluating-E) โดยทีมร่วมพัฒนา โดยยึดหลัก 3 ให้ 2 ร่วม คือ ให้ใจ ให้งาน ให้โอกาส ร่วมคิด และร่วมพัฒนา และใช้กระบวนการพัฒนาหลักสูตร 1) การศึกษาข้อมูลสภาพปัญหาและความต้องการของนักเรียนและหลักสูตรที่เหมาะสมกับผู้เรียน 2) กำหนดจุดหมายของหลักสูตร 3) จัดเนื้อหาสาระจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้เหมาะสมกับผู้เรียน 4) กำหนดมาตรฐานและการประเมินผลเพื่อกำหนดเป็นแนวทางให้ผู้เรียนพัฒนาสอดคล้องกับจุดมุ่งหมาย 5) การนำหลักสูตรไปใช้
3.1 ผลการจัดกิจกรรมตามแนวทางการปรับหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่
มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ก่อนและหลังการพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ ในห้องเรียนรวมพบว่า ก่อนการพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศ มีคุณภาพการจัดกิจกรรม ของครูผู้สอน มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับปานกลาง หลังการพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศ มีคุณภาพการจัดกิจกรรม ของครูผู้สอน มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อเปรียบเทียบระดับคุณภาพการจัดกิจกรรม ก่อนและหลังพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศ นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งหลังการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมากที่สุดสูงกว่าก่อนการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลางแสดงให้เห็นว่าผลการการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ คุณภาพการจัดกิจกรรมตามแนวทางการปรับหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ของครูผู้สอนดีขึ้น
3.2 ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการใช้รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2
พบว่า เปรียบเทียบผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งหลังการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ มี สูงกว่าก่อนการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ แสดงให้เห็นว่าผลการการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้น ร้อยละผลการทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คะแนนเฉลี่ยโดยรวมก่อนพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศมีค่าเท่ากับ 9.04 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 30.13 ในขณะที่หลังพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศฯ มีค่าเท่ากับ 25.41 คิดเป็นร้อยละ 84.7 เมื่อพิจารณาผลต่าง พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศโดยรวมเพิ่มขึ้น 16.37 คิดเป็นร้อยละ 54.56
3.3 ผลจากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และ ครูผู้สอนต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ของหลังการใช้รูปแบบการนิเทศ มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด 3 ลำดับแรก พบว่า ลำดับแรกอยู่ในระดับมากที่สุดคือ ขั้นที่ 3 ชี้ชัดด้วยการนิเทศติดตาม (Doing -D) รองลงมาคือ ขั้นที่ 4 สร้างเสริมขวัญกำลังใจ (Reinforcing-R) และ ลำดับที่ 3 คือ ขั้นที่ 1 วางแผนดำเนินการ (Planning-P)
3.4. ผลการวัดความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ในภาพรวมอยู่ในระดับระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก พบว่า ข้อ 5 รูปแบบการนิเทศโดยทีมช่วยให้ครูผู้สอนมีความเข้าใจต่อลักษณะนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้ รองลงมา คือ ข้อ 6 รูปแบบการนิเทศโดยทีมมีส่วนช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ และ ข้อ 3 รูปแบบการนิเทศโดยทีมช่วยกระตุ้นให้ผู้บริหารและครูผู้สอน มีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้ โดยสรุป รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 ที่นำไปทดลองกับโรงเรียนต้นแบบเรียนรวม นั้น มีประสิทธิภาพเพียงพอเหมาะสมกับการนำไปใช้ในการพัฒนาโรงเรียนกลุ่มตัวอย่างต่อไป
4 การประเมินผลการใช้รูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 พบว่า
4.1 คุณภาพการจัดกิจกรรมตามแนวทางการปรับหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษา ปีที่ 3 ครูผู้สอน ก่อนและหลังพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศ นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งหลังการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับมาก สูงกว่าก่อนการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ มีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับปานกลาง แสดงให้เห็นว่าผลการการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ คุณภาพการจัดกิจกรรมตามแนวทางการปรับหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ครูผู้สอนดีขึ้น
4.2 ผลการวิเคราะห์ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเปรียบเทียบผลการทดสอบ
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ก่อนและหลังพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ ก่อนและหลังการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ นักเรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 ซึ่งหลังการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ มีค่าเฉลี่ย สูงกว่าก่อนการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ แสดงให้เห็นว่าผลการการพัฒนาตามรูปแบบนิเทศ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนดีขึ้นร้อยละผลการทดสอบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 คะแนนเฉลี่ยโดยรวมก่อนพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศมีค่าเท่ากับ 8.97 จากคะแนนเต็ม 30 คะแนน คิดเป็นร้อยละ 29.9 ในขณะที่หลังพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศฯ มีค่าเท่ากับ 25.69 คิดเป็นร้อยละ 85.63 เมื่อพิจารณาผลต่าง พบว่า คะแนนเฉลี่ยหลังพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศโดยรวมเพิ่มขึ้น 16.72 คิดเป็นร้อยละ 55.73
4.3 ผลจากความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษา และ ครูผู้สอนต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 หลังการใช้รูปแบบการนิเทศ พบว่า หลังการพัฒนาตามรูปแบบการนิเทศ ระดับความคิดเห็นของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 มีคุณภาพโดยรวมอยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายด้านตามค่าเฉลี่ยสูงสุดไปหาต่ำสุด 3 ลำดับแรก พบว่า ลำดับแรกคือ ขั้นที่ 3 ชี้ชัดด้วยการนิเทศติดตาม (Doing -D) รองลงมาคือ ขั้นที่ 4 สร้างเสริมขวัญกำลังใจ (Reinforcing-R) และ ลำดับที่ 3 คือ ขั้นที่ 5 ถามไถ่ประเมินผล (Evaluating-E)
4.4 ผลการวัดความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนที่มีต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวม สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาขอนแก่น เขต 2 พบว่า ความพึงพอใจของผู้บริหารสถานศึกษาและครูผู้สอนต่อรูปแบบการนิเทศโดยทีมเพื่อพัฒนาหลักสูตรภาษาไทย สำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ที่ ในห้องเรียนรวม อยู่ในระดับมาก เมื่อพิจารณาเป็นรายข้อเรียงลำดับจากค่าเฉลี่ยมากไปหาน้อย 3 ลำดับแรก พบว่า ข้อ 7 รูปแบบการนิเทศโดยทีมตอบสนองความต้องการของครูผู้สอน ทำให้สามารถจัดการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ รองลงมา คือ ข้อ 6 รูปแบบการนิเทศโดยทีมมีส่วนช่วยให้ครูผู้สอนสามารถจัดการเรียนรู้ได้เหมาะสมกับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้เต็มตามศักยภาพ และ ลำดับที่ 3 คือ ข้อ 3 รูปแบบการนิเทศโดยทีมช่วยกระตุ้นให้ผู้บริหารและครูผู้สอน มีความกระตือรือร้นในการปฏิบัติงานเพื่อแก้ปัญหานักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ได้ และข้อ 8 รูปแบบการนิเทศโดยทีมมีประโยชน์ต่อการพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ในห้องเรียนรวมได้
กล่าวโดยสรุป รูปแบบการนิเทศที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีส่วนช่วยให้ครูผู้สอนในโรงเรียนแกนนำจัดการเรียนรวมทำให้มีแนวทางการพัฒนาหลักสูตรภาษาไทยสำหรับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางการเรียนรู้ให้มีการพัฒนาเต็มตามศักยภาพ และเรียนรู้กับนักเรียนปกติได้อย่างมีความสุข