บทคัดย่อ
การศึกษาครั้งนี้มีวัตถุประสงค์คือ ๑) เพื่อพัฒนาชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวงให้มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ ๘๐/๘๐ ๒) เพื่อ
เปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียนโดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง และ ๓) เพื่อศึกษาความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนรู้โดยใช้ชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง ประชากรที่ใช้ในการศึกษาเป็นนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ๔/๓ โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษายะลา เขต ๓ ในภาคเรียนที่ ๒ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๙ จำนวน ๓๐ คน ที่ผู้รายงานเป็นครูประจำชั้น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย ๑) ชุดฝึกทักษะการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 จำนวน ๗ เล่ม ๒) แผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง การอ่านจับใจความสำคัญกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๒๓ แผน
๓) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ก่อนเรียนและหลังเรียน จำนวน ๓๐ ข้อ และ ๔) แบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการเรียนด้วยชุดฝึกเสริมทักษะภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ โดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบ STAD กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ จำนวน ๑๒ ข้อ ดำเนินการศึกษาในภาคเรียนที่ ๒ ปีการศึกษา ๒๕๕๙ ระหว่างวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ รวมเวลาทั้งสิ้น ๒๓ ชั่วโมง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้ค่าสถิติคือ ค่าเฉลี่ย และ ค่าร้อยละ
ผลการศึกษาพบว่า
๑) ประสิทธิภาพของกระบวนการ (E1) มีค่าเท่ากับ ๘๐.๕๗ และประสิทธิภาพของผลลัพธ์ (E2)
มีค่าเท่ากับ ๘๔.๖๗ ดังนั้น ประสิทธิภาพของชุดฝึกเสริมทักษะภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง มีค่าเท่ากับ ๘๐.๕๗ /๘๔.๖๗
๒) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนโดยใช้ชุดฝึกเสริมทักษะภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง ก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๕.๘๓ คิดเป็นร้อยละ ๑๙.๔๔ ส่วนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๒๕.๔๐ คิดเป็นร้อยละ ๘๔.๖๗ โดยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียนเฉลี่ย ๑๙.๕๗ คิดเป็น ร้อยละ ๖๕.๒๓
๓) ระดับความพึงพอใจที่มีต่อการเรียนโดยใช้ชุดฝึกเสริมทักษะภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง เฉลี่ยโดยรวมอยู่ในระดับมากที่สุด โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ ๔.๖๖ คิดเป็นร้อยละ ๙๓.๒๒
ข้อเสนอแนะ
๑) ครูผู้สอนกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย สามารถนำชุดฝึกทักษะภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญโดยเทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบSTAD ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ไปประยุกต์ใช้สำหรับเสริมทักษะภาษาไทยเรื่องการอ่านจับใจความสำคัญ กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย เพราะจากการศึกษาได้ยืนยันถึงผลของความสำเร็จในการนำไปใช้แล้ว คือ การมีประสิทธิภาพเท่ากับ ๘๐.๕๗/๘๔.๖๗ สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่องการการอ่านจับใจความสำคัญโดยใช้เทคนิคการเรียนรู้แบบร่วมมือกันแบบSTAD ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๔ ให้สูงขึ้นได้ และนักเรียนมีความพึงพอใจต่อการใช้ชุดฝึกเสริมทักษะโดยภาพรวมอยู่ในระดับมากที่สุด
๒) จากการประเมินความพึงพอใจของนักเรียนพบว่า ประเด็นด้านเนื้อหาสาระมีความเหมาะสมครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะกระบวนการ ตรงกับระดับชั้นของผู้เรียน มีระดับความพึงพอใจต่ำสุด ซึ่งอาจอธิบายได้ว่า การออกแบบชุดฝึกและแบบทดสอบต่างๆในชุดฝึกอาจยังมีความไม่เหมาะสมหรือเนื้อหาสาระอาจจะมีความบกพร่องบางประการ ส่งผลให้นักเรียนไม่พึงพอใจ ดังนั้น ครูผู้สอนหรือ ผู้ที่ต้องการนำไปใช้ควรให้ความสำคัญกับการออกแบบชุดฝึกและแบบทดสอบต่างๆให้มีความเหมาะสม สามารถดึงดูดความสนใจนักเรียนให้ทำงานได้อย่างมีความสุขและเกิดการเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป