บทคัดย่อ :
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนด้วยชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ในครั้งนี้ มีวัตถุประสงค์คือ
1) เพื่อพัฒนาชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ 80/80 2) เพื่อศึกษาดัชนีประสิทธิผลของชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น 3) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนเรียนและหลังเรียน ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) 4) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในวิจัยครั้งนี้ คือ นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4/1 จำนวน 35 คน ที่กำลังศึกษาอยู่ในภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 29 จังหวัดศรีสะเกษ สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ ได้มาโดยการสุ่มแบบแบ่งกลุ่ม (Cluster Random Sampling) โดยใช้ห้องเรียนเป็นหน่วยสุ่ม รูปแบบการวิจัยเป็นรูปแบบการวิจัยแบบทำการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง (One Group Pretest - Posttest Design) ระยะเวลาในการทดลอง คือ ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย คือ เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการเรียนรู้ได้แก่ 1) แผนการจัดการเรียนรู้ด้วยชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 รายวิชาการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) รหัสวิชา ง31242 กลุ่มสาระการงานอาชีพและเทคโนโลยี 2) ชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น และเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล ได้แก่ 1) แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นแบบทดสอบชนิดเลือกตอบ 4 ตัวเลือก จำนวน 40 ข้อ ที่มีค่าความยากง่ายอยู่ระหว่าง 0.22 - 0.78 และค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.29 - 0.85 และค่าความเชื่อมั่นของแบบทดสอบทั้งฉบับเท่ากับ 0.82 2) แบบวัดความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) เป็นชนิดมาตราส่วนประมาณค่า (Rating Scale) 5 ระดับ จำนวน 15 ข้อ มีค่าอำนาจจำแนกอยู่ระหว่าง 0.76 0.85 และมีค่าความเชื่อมั่นทั้งฉบับเท่ากับ 0.91 สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และทดสอบสมมติฐานโดยใช้สถิติ t-test (Dependent Samples)
ผลการวิจัยปรากฏดังนี้
1. ชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีประสิทธิภาพ 84.54/83.61 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ 80/80 ที่ตั้งไว้
2. ชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่ผู้วิจัยพัฒนาขึ้น มีค่าดัชนีประสิทธิผลเท่ากับ 0.56 แสดงว่านักเรียนมีความก้าวหน้าในการเรียน คิดเป็นร้อยละ 56
3. ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่เรียนด้วยชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) หลังจากเรียนสูงกว่าก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
4. ความพึงพอใจของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ที่มีต่อการเรียนด้วยชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) โดยรวมอยู่ในระดับ มาก ( = 4.53, S.D. = 0.42) ด้านที่มีความพึงพอใจมากที่สุด 3 ลำดับแรก คือ ข้อ 6 ฉันได้มีโอกาสอธิบายและซักถามเพื่อนในกลุ่มทำให้เข้าใจมากขึ้น อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.76, S.D. = 0.42) รองลงมาคือ ข้อ 13 ฉันได้มีโอกาสปฏิบัติกิจกรรมและรับฟังข้อเสนอแนะจากครูและเพื่อน ( = 4.74, S.D. = 0.42) อยู่ในระดับมากที่สุด และข้อ 2 เพื่อนเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้พึ่งพาอาศัยและช่วยเหลือกัน อยู่ในระดับมากที่สุด ( = 4.68, S.D. = 0.53) และข้อที่มีความพึงพอใจน้อยที่สุด คือ ข้อ 11 กิจกรรมที่ปฏิบัติเป็นพื้นฐานในการเรียนวิชาอื่น ๆ อยู่ในระดับมาก ( = 3.88, S.D. = 0.71)
สรุปผลการวิจัยครั้งนี้ชี้ให้เห็นว่าชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD เรื่องการเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ (ภาษาซี) สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 เป็นสื่อในการจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาการจัดการเรียนรู้ โดยเน้นนักเรียนเป็นสำคัญและเป็นประโยชน์กับนักเรียน ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ทำให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล สามารถพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียน ดังนั้นควรส่งเสริมและสนับสนุนให้ครูสาระการเรียนรู้อื่น ๆ หรือระดับชั้นอื่น ๆ นำชุดฝึกปฏิบัติโดยใช้เทคนิค STAD ไปเป็นนวัตกรรมในการจัดการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาความรู้ ทักษะ เจตคติ และสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน ตามเจตนารมณ์ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ต่อไป