ข
ชื่อเรื่องการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ LSIM หน่วยการเรียนรู้หินและการเปลี่ยนแปลงของโลก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ผู้วิจัย นางธัญลักษณ์ เกวขุนทด
ปีการศึกษา 2558
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ 1) เพื่อศึกษาสภาพปัญหาในการจัดการเรียนการสอนกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 2)เพื่อศึกษาองค์ความรู้เกี่ยวกับการเรียนแบบร่วมมือในการจัดการเรียนรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 3) เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ LSIM หน่วยการเรียนรู้หินและการเปลี่ยนแปลงของโลก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 4) เพื่อทดลองใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ LSIM หน่วยการเรียนรู้หินและการเปลี่ยนแปลงของโลก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 และ 5) เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ LSIM หน่วยการเรียนรู้หินและการเปลี่ยนแปลงของโลก กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ประชากรที่ใช้ในการวิจัย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ในปีการศึกษา 2558 จำนวน 102 คน เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสัมภาษณ์ แบบวิเคราะห์รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ LSIM แบบประเมินรูปแบบการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน และแบบสอบถามความพึงพอใจของนักเรียน วิเคราะห์ข้อมูลโดยหาค่าความถี่ ค่าเฉลี่ย ค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน
ผลการวิจัยพบว่า
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ พบว่า ครูผู้สอนยังคงเน้นการบรรยายเนื้อหาเป็นหลัก ไม่มีรูปแบบการสอน เทคนิควิธีการสอนและกระบวนการจัดการเรียนการสอนไม่น่าสนใจ ครูผู้สอนใช้สื่อและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนการสอนน้อย สื่อ อุปกรณ์ไม่เพียงพอ เก่าและขาดคุณภาพครูขาดการบูรณาการการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชน และภูมิปัญญาท้องถิ่น นักเรียนมีความหลากหลายและแตกต่างกัน แหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียนไม่เพียงพอ นักเรียนไม่ตั้งใจเรียน ขาดเรียนบ่อย ขาดความสามารถด้านกระบวนการคิด ไม่กระตือรือร้น ไม่สนใจใฝ่เรียนรู้
2. องค์ความรู้เกี่ยวกับการจัดการเรียนแบบร่วมมือพบว่า การเรียนรู้แบบร่วมมือเป็นวิธีการจัดการเรียนการสอนรูปแบบหนึ่งที่เน้นให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติงานเป็นกลุ่มย่อยโดยมีสมาชิกกลุ่มที่มีความสามารถแตกต่างกัน เพื่อเสริมสร้างสมรรถภาพการเรียนรู้ของแต่ละคนสนับสนุนให้มีการช่วยเหลือซึ่งกันและกันจนบรรลุตามวัตถุประสงค์ สมาชิกแต่ละคนในทีมจะมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการเรียนรู้ และจะได้รับการกระตุ้นให้เกิดแรงจูงใจเพื่อที่จะช่วยเหลือและเพิ่มพูนการเรียนรู้ของสมาชิกในทีม
3.ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ SLIM
3.1ผลการพัฒนารูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ SLIM พบว่า มีองค์ประกอบที่สำคัญ คือรูปแบบวิธีสอนที่คำนึงถึงความต้องการและความสนใจของผู้เรียนเป็นสำคัญ โดยเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการเรียนรู้ให้มากที่สุด การเรียนแบบ SLIM มีขั้นตอนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ 7 ขั้น ได้แก่ ขั้นนำเสนอบทเรียนต่อชั้นเรียน ขั้นศึกษากลุ่มย่อย ขั้นทดสอบย่อยรายบุคคล ขั้นคิดคะแนนพัฒนาการรายบุคคล ขั้นการยกย่องความสำเร็จของกลุ่ม ขั้นการแข่งขันทางวิชาการและขั้นการกำหนดทีมที่ได้รับการยกย่องและมีการจัดปัจจัยสนับสนุนการจัดการเรียนรู้อย่างเพียงพอ
3.2 ผลการตรวจสอบคุณภาพรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการ
สอนแบบ LSIM โดยผู้ทรงคุณวุฒิ พบว่า มีความเหมาะสมและมีความเป็นไปได้อยู่ในระดับมากที่สุด ส่วนผลการหาประสิทธิภาพของรูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ LSIM พบว่า มีค่าประสิทธิภาพ (E1/ E2) เท่ากับ 83.15/84.11 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐาน 80/80 ที่กำหนดไว้
4. ผลการทดลองใช้รูปแบบการเรียนแบบร่วมมือโดยใช้รูปแบบการสอนแบบ SLIM พบว่า ค่าเฉลี่ยผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนสูงกว่าก่อนเรียน
5. ผลการศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ที่มีต่อการเรียนแบบร่วมมือ โดยใช้รูปแบบการสอนแบบ SLIM หน่วยการเรียนรู้หินและการเปลี่ยนแปลงของโลก พบว่านักเรียนมีความพึงพอใจอยู่ในระดับมาก โดยมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 3.83 และมีค่าส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 0.164