การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบ
โครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน
โรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
THE DEVELOPMENT OF ACADEMIC ADMINSTRATION MODEL FOR
ENHANCING TEACHERS PERFORMANCE IN USING PROJECT-BASED LEARNING TO FOSTER CREATIVE THINKING OF STUDENTS
IN TESSABAN 1 SCHOOL (BAN KAPAEH)
ชื่อผู้วิจัย นางพนิดา อินทจันทร์
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) เป็นการวิจัยและพัฒนา (Research and Development : R&D) โดยใช้กระบวนการวิจัยแบบผสมผสาน(Mixed methods research) ซึ่งประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณ (quantitative method) และการวิจัยเชิงคุณภาพ(quatitative method) และใช้รูปแบบการวิจัย(Pre-experimental design) แบ่ง 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การวิจัยศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการ ขั้นตอนที่ 3 การวิจัยทดลองหาประสิทธิผลของรูปแบบ เป็นการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการกับกลุ่มตัวอย่าง ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนาปรับปรุงรูปแบบวิชาการ ประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบให้มีความสมบูรณ์ มีการทดสอบก่อนและหลังการทดลอง(one-group pretest-posttest design) มาพัฒนาเป็นแบบแผนการวิจัยที่เหมาะสม กลุ่มตัวอย่างคือ ครู จำนวน 10 คน และนักเรียน จำนวน 30 คน ซึ่งได้จากการสุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง ( Purposive sampling ) ทำการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงปริมาณด้วยค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ข้อมูลเชิงคุณภาพด้วยการวิเคราะห์เนื้อหาที่ได้จากการสังเกตและสัมภาษณ์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ คู่มือครูและผู้บริหาร แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินแผนการสอน แบบประเมินความพึงพอใจ แบบทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ เครื่องมือการประเมินคือ แบบทดสอบความรู้ แบบประเมินแผนการสอน แบบสังเกตพฤติกรรม แบบประเมินความสามารถ แบบประเมินความพึงพอใจ
ผลการวิจัยพบว่า
1. ผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สามารถกำหนดกรอบแนวคิดการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ได้
2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ประกอบด้วย องค์ประกอบของการบริหารงานวิชาการที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างเป็นระบบทำให้ การบริหารงานวิชาการมีประสิทธิภาพ จำนวน 7 องค์ประกอบ คือ 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ 3) การพัฒนา นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 4) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 5) การวัดผลและประเมินผล 6) การนิเทศการศึกษา 7) การประสานความร่วมมือ
การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่ผู้ปกครอง ชุมชน และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบ
โครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) และนำการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้ พบว่า รูปแบบที่ได้จากการวิจัยมีความเหมาะสม ความเป็นไปได้ ความถูกต้อง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้
4. ผลการประเมินการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอน
แบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนพบว่า
4.1 ครูมีความรู้ความเข้าใจการสอนแบบโครงงานหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.2 ครูมีความสามารถในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์และแผนการสอนสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.3 ครูมีความสามารถในการสอนสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.4 ครูมีความพึงพอใจหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อยู่ในระดับดีมาก
4.5 นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
คำสำคัญ : รูปแบบการบริหารงานวิชาการ, สมรรถนะการสอนแบบโครงงาน,
ทักษะการคิดวิเคราะห์
บทนำ
จากกระแสวัฒนธรรมโลกเกิดความก้าวหน้าในการติดต่อสื่อสาร การขยายตัวของเครือข่าย ทางสังคมส่งผลให้มีทั้งโอกาสและความเสี่ยงต่อวิถีชีวิตทัศนคติและความเชื่อในสังคม ตลอดจนความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล กระบวนการเรียนรู้ของผู้คนทุกชาติต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงและ เกิดการแข่งขันสูงในเรื่องของคุณภาพ สังคมไทยกำลังประสบปัญหาวิกฤติค่านิยมที่เปลี่ยนแปลงไปตามกระแสวัฒนธรรมต่างชาติที่หลากหลาย เพราะขาดทักษะการคิดวิเคราะห์ไม่สามารถ
คัดกรองและเลือกรับวัฒนธรรมที่ดี เพื่อปรับเปลี่ยนค่านิยมและพฤติกรรมให้สามารถปรับตัวเข้ากับกระแสใหม่ของโลกได้ ประเทศไทยจึงต้องปรับเปลี่ยนให้ทันต่อสถานการณ์เพื่อสร้างศักยภาพของคนในชาติให้สามารถดำรงอยู่ในประชาคมโลกได้อย่างมีศักดิ์ศรี การจัดการศึกษาเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพเป็นเรื่องจำเป็นที่รัฐจะต้องดำเนินการ โดยจะต้องให้การศึกษาที่มีคุณภาพแก่ประชาชน เพื่อทำให้ศักยภาพในตัวผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มที่ รู้จักคิดวิเคราะห์รู้จักแก้ปัญหา มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ รู้จักเรียนรู้ด้วยตนเองและสามารถปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว (พิมพันธ์ เดชะคุปต์, พเยาว์ ยินดีสุข, ราเชน มีศรี, 2550: 1, สุภาวดี ตรีรัตน์, 2555: 1) สอดคล้องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ผู้เรียนทุกคน สามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด การจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาเต็มศักยภาพ (สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา, 2546: 3-4) สำหรับประเทศไทยได้กำหนดนโยบายการจัดการศึกษาของชาติให้ผู้เรียนได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพ มีมาตรฐานและพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้ผลทดสอบการศึกษาระดับชาติเพิ่มขึ้น เน้นให้ผู้เรียนมีความ สามารถในการเรียนรู้ รักที่จะเรียนรู้ในรูปแบบที่มีความหลากหลาย สนุกกับการเรียนรู้ และมีโอกาสได้เรียนรู้นอกห้องเรียนอย่างสร้างสรรค์ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดนโยบายการปฏิรูปการศึกษาในทศวรรษที่สองให้คนไทยได้เรียนรู้ตลอดชีวิตอย่างมีคุณภาพ ได้กำหนดกรอบแนวทางในการปฏิรูปการศึกษาและการเรียนรู้อย่างเป็นระบบไว้ 4 ประการ คือ 1) การพัฒนาคุณภาพคนไทยยุคใหม่ 2) การพัฒนาคุณภาพครูยุคใหม่ 3) การพัฒนาคุณภาพสถานศึกษา และแหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ และ 4) การพัฒนาคุณภาพการบริหารจัดการใหม่ กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นจึงได้มีนโยบายพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ได้ตามมาตรฐานที่กำหนด จัดให้นักเรียนในสังกัดได้รับการศึกษาขั้นพื้นฐานเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ นักเรียนจะได้รับการส่งเสริมและยกระดับคุณภาพการจัดการศึกษา (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, 2557: 51, พิณสุดา สิริธรังศรี, 2557: 6, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2559: 17) และจากการเตรียมความพร้อมเข้าสู่อาเซียนของประเทศไทยพบว่าตลาดแรงงานมีความต้องการทักษะและความชำนาญในงานประจำทั้งด้านฝีมือและด้านความคิดที่ครั้งหนึ่งเคยถือว่าสำคัญ กลับเป็นที่ต้องการน้อยลง แต่ความต้องการทักษะด้านการแก้ปัญหา ทักษะในการปฏิสัมพันธ์ ตอบสนองสถานการณ์มีเพิ่มขึ้นนั้นคือ การพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ให้กับนักเรียนเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของตลาดแรงงานในศตวรรษที่ 21 การจัดการศึกษาจึงมีความจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมให้กับครูและนักเรียน ด้วยการส่งเสริมการพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และความคิดสร้างสรรค์ในชั้นเรียน (สุนีย์ คล้ายนิล, 2558: 1) และรายงานการประเมินคุณภาพภายนอกสถานศึกษาระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน รอบสาม(พ.ศ.2554-2558) พบว่า โรงเรียนได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาปฐมวัย แต่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐานการศึกษาด้านประถมศึกษา จุดที่ควรพัฒนาด้านผลการจัดการศึกษา โรงเรียนควรรีบเร่งพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและเพิ่มการพัฒนาความสามารถในการด้านการคิดของผู้เรียน ด้าน การจัดการเรียนการสอนควรส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนา การประเมินแผนการจัดการเรียนรู้ของครู วางแผนพัฒนาครูแต่ละคนอย่างเป็นระบบ (สำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา(องค์การมหาชน) , 2556: 6) ดังนั้น สถานศึกษาจึงควรมีโครงการพัฒนาครูผู้สอนในรายวิชาต่างๆ เพิ่มขึ้น เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถและทักษะในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญผู้เรียนควรได้รับการปรับปรุงและพัฒนาในด้านความคิดรวบยอด การเรียนรู้การศึกษาค้นคว้า การส่งเสริมการจัดการเรียนการสอนที่เน้นกระบวนการและการให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้(โรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ), 2558: 34)
จากสภาพปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยจึงสนใจที่จะพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะ การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ที่สามารถนำไปพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพต่อไป
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1. เพื่อศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
2. เพื่อพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
3. เพื่อทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) และนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้
4. เพื่อประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอน
แบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) โดยมีวัตถุประสงค์ย่อยของการประเมิน ดังนี้
4.1 เพื่อเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอนแบบโครงงานของครูก่อนและหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.2 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนแผนการสอนที่ใช้การสอนแบบโครงงานก่อนและหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.3 เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการสอนแบบโครงงานของครูก่อนและหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.4 เพื่อศึกษาความพึงพอใจของครูหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
4.5 เพื่อเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนก่อนและหลังการใช้รูปแบบ
การบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
กรอบแนวคิดการวิจัย
กรอบแนวคิดการวิจัยครั้งนี้ได้พัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะ การสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สรุปแนวคิดสำคัญได้เป็นแผนภาพที่ 1 ดังนี้
วิธีการวิจัย
ผู้วิจัยได้ดำเนินการตามขั้นตอนของการวิจัยและพัฒนาซึ่งแบ่งเป็น 4 ขั้นตอน ดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 การวิจัยศึกษาข้อมูลพื้นฐาน(Research (R1): Analysis) เป็นการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐาน
ขั้นตอนที่ 2 การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการ (Development (D1): (Design and Development) เป็นการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการและเครื่องมือที่ใช้ในการทดลองและเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล
ขั้นตอนที่ 3 การวิจัยทดลองหาประสิทธิผลของรูปแบบ(Research (R2): Implementation) เป็นการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการกับกลุ่มตัวอย่าง
ขั้นตอนที่ 4 การพัฒนาปรับปรุงรูปแบบวิชาการ (Development: Evaluation (D2) เป็นการประเมินผลและปรับปรุงรูปแบบให้มีความสมบูรณ์
ขอบเขตการวิจัย
การศึกษาครั้งนี้ มีขอบเขตการวิจัย ดังนี้
1. เนื้อหา เนื้อหาที่นำมาสร้างเป็นรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะ การสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ได้แก่ การบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสรรถนะการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ ความรู้เกี่ยวกับการสอนแบบโครงงานของครู การเขียนแผนการจัดประสบการณ์และแผนการสอนแบบโครงงานของครู การสอนแบบโครงงานของครู ทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน
2. กลุ่มเป้าหมาย ที่ใช้ในการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะ การสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ครั้งนี้ ได้แก่ ครูผู้สอนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) จำนวน 10 คน และนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 จำนวน 30 คน ปีการศึกษา 2558 - 2559
3. ตัวแปรที่ศึกษา ในการวิจัยครั้งนี้ ประกอบด้วยตัวแปร ดังนี้
3.1 ตัวแปรอิสระ (Independent Variables) คือ การจัดการเรียนรู้ตามรูปแบบการบริหาร งานวิชาการเพื่อพัฒนาสรรถนะการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ
ขั้นที่ 1 ศึกษาองค์ประกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการ
ขั้นที่ 2 สร้างรูปแบบการบริหารงานวิชาการ
ขั้นที่ 3 ทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการ
ขั้นที่ 4 ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการ
3.2 ตัวแปรตาม (Dependent Variables) คือ สมรรถะการสอนแบบโครงงาน ประกอบด้วย
3.2.1 ความรู้เกี่ยวกับการสอนแบบโครงงานของครู
3.2.2 ความสามารถในการเขียนแผนการจัดประสบการณ์และแผนการสอนแบบโครงงานของครู
3.2.3 ความสามารถในการสอนแบบโครงงานของครู
3.2.4 ความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานวิชาการ
3.2.5 ความสามารถด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน
4. ระยะเวลาที่ใช้ในการดำเนินการทดลอง ดำเนินการวิจัยใช้ระยะเวลาในการทดลองสอนในภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2558 ภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2558 ระหว่างเดือนพฤษภาคม 2558 มีนาคม 2559
สรุปผลการวิจัย
1.ผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) พบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานมีความจำเป็นและมีความสำคัญมากเพื่อใช้เป็นแนวทางการพัฒนานักเรียนให้มีผลการเรียนรู้ได้ตามมาตรฐานหลักสูตรกำหนด
2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) พบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) มีชื่อว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)ได้พัฒนาขึ้นภายใต้การวิจัยและพัฒนา (Research and Development) ร่วมกับแนวคิดการบริหารงานวิชาการของ รุ่ง แก้วแดง (2545: 51) ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2553: 13-14)สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2552: 6-7) ประกอบด้วย 7 องค์ประกอบ คือ 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้ 3) การพัฒนา นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 4) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 5) วัดผลและประเมินผล 6) การนิเทศการศึกษา 7) การประสานความร่วมมือ การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่ผู้ปกครอง ชุมชน และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา และมีประสิทธิภาพตามที่กำหนด
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)และนำการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของการพัฒนาทุกรายการ ทั้งด้านความรู้และทักษะของครูและนักเรียนในภาพรวมอยู่ในระดับดี โดยก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) มีคะแนนเฉลี่ย 5.60 ค่าเบี่ยงเบน มาตรฐานเท่ากับ .84 และหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) มีคะแนนเฉลี่ย 14.00 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ 1.05 ส่วนคะแนนเฉลี่ยความพึงพอใจของครูหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) มีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 4.12 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .05 ส่วนคะแนนเฉลี่ยการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่กำหนดไว้ โดยก่อนการใช้รูปแบบมีค่าเฉลี่ยมีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 13.94 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .73 และหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) มีคะแนนเฉลี่ยเท่ากับ 20.78 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .52
4. ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบ
โครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)
พบว่า ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านประเมินความสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกันคือ ในทุกประเด็นมีความสอดคล้องกับรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) และมีค่าดัชนีความสอดคล้องเท่ากับ 1.00 ส่วนผลลัพธ์ที่เป็นผลจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ของครูผู้สอน พบว่า คะแนนเฉลี่ยด้านสมรรถนะของครูผู้สอน คะแนนเฉลี่ยด้านสมรรถนะการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะ
การคิดวิเคราะห์ของนักเรียนและคะแนนเฉลี่ยด้านทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมีพัฒนาการที่ดีขึ้น สำหรับด้านความพึงพอใจของครูที่มีต่อรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1
(บ้านกาแป๊ะ) พบว่า ในภาพรวมครูผู้สอนมีความพึงพอใจต่อการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อยู่ในระดับมาก โดยครูผู้สอนมีค่าเฉลี่ยความพึงพอใจเท่ากับ 4.12 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .05 ส่วนการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน พบว่า ในภาพรวมนักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับสูง โดยมีค่าเฉลี่ยระดับคะแนนเท่ากับ 20.78 ค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานเท่ากับ .52
อภิปรายผล
1. ผลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) พบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะ
การสอนแบบโครงงานมีความจำเป็นและมีความสำคัญมากเพื่อใช้เป็นแนวทางการพัฒนานักเรียนให้มีผลการเรียนรู้ได้ตามมาตรฐานหลักสูตรกำหนด ปัจจัยที่สำคัญในการสอนแบบโครงงาน คือ การให้ความรู้แก่ครูเกี่ยวกับการสอนแบบโครงงาน ควรให้ครูได้จัดกิจกรรมการสอนแบบโครงงานเพื่อให้นักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ การทำโครงงานทำให้เกิดทักษะการคิดย่อยๆในแต่ละขั้นตอนของการทำโครงงาน ช่วยให้นักเรียนได้รู้จักใช้เหตุผล วินิจฉัยข้อเท็จจริง ช่วยในการประเมินและตัดสินใจได้อย่างเป็นรากฐานสำคัญของการเรียนรู้และการดำเนินชีวิต ซึ่งสอดคล้องกับงานวิจัยของ โบลเลอร์ (Boaler, 1997) ที่พบว่า การใช้วิธีการจัดการเรียนที่แตกต่างกัน โดยโรงเรียนแรกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน ส่วนโรงเรียนที่สองใช้การจัดการเรียนรู้แบบปกติโดยสังเกตและสัมภาษณ์เป็นระยะ ๆ เป็นเวลา 3 ปี พบว่าโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน นักเรียนมองว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยืดหยุ่น ส่วนโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนแบบปกติ นักเรียนมองว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อต้องอาศัยความจำเป็นหลัก สอดคล้องกับ เชฟเฟิร์ด (Shepherd, 1998) ที่พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสามารถพัฒนาทักษะ
การคิดวิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น สอดคล้องกับ ราวิซ (Ravitz , 2008) ได้ศึกษาการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของการจัดการเรียนรู้ ซึ่งครูผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จะใช้วิธีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานในการจัดการเรียนรู้ ทั้งนี้เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนใช้วิธีการทางวิทยาศาสตร์ในการแสวงหาความรู้ด้วยตนเอง ทำให้นักเรียนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ มีทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ พัฒนาเจตคติเชิงวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์มีความสามารถแก้ปัญหาได้ด้วยตนเอง สอดคล้องกับ สมเดช หล้าหมอก (2550) พบว่า การพัฒนาการจัดกระบวนการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเรียนรู้แบบโครงงานมีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ส่งผลให้นักเรียนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนและการปฏิบัติกิจกรรมระหว่างเรียนผ่านเกณฑ์ที่ตั้งไว้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเพิ่มขึ้น แสดงว่าการสอนแบบโครงงานทำให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น ครูเป็นผู้กระตุ้นและช่วยเหลือในการปฏิบัติกิจกรรมโครงงานอย่างเป็นลำดับขั้นตอนจึงทำให้ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนแบบโครงงานสูงขึ้นพฤติกรรมรายบุคคลอยู่ในระดับคุณภาพดี
2. ผลการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) พบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ประกอบด้วย
7 องค์ประกอบ คือ 1) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 2) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้
3) การพัฒนา นวัตกรรมและเทคโนโลยีทางการศึกษา 4) การพัฒนาแหล่งเรียนรู้ 5) วัดผลและประเมินผล 6) การนิเทศการศึกษา 7) การประสานความร่วมมือ การส่งเสริมและสนับสนุนงานวิชาการแก่ผู้ปกครอง ชุมชน และสถาบันอื่นที่จัดการศึกษา และมีประสิทธิภาพตามที่กำหนด ซึ่งสอดคล้องกับ ฮิวเบอร์ (Huber, 2007) ได้วิเคราะห์องค์ประกอบเชิงสำรวจและเชิงยืนยันภาวะผู้นำทางวิชาการของผู้บริหารสถานศึกษาได้มีการลดองค์ประกอบภาวะผู้นำทางวิชาการ เป็น 4 องค์ประกอบ ได้แก่ 1) การอำนวยความสะดวกในการพัฒนาวิสัยทัศน์ 2) การสร้างความมั่นใจในการจัดการเรียนการสอน และการประเมินผล 13) การสนับสนุนการพัฒนาวิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพ และ 4) การเสริมสร้างความเป็นผู้นำ และการมีส่วนร่วมในการจัดการเรียนการสอน สอดคล้อง คัมภีร์ สุดแท้ (2553) ที่พบว่ารูปแบบการบริหารงานวิชาการสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก มี 2 องค์ประกอบหลัก 17 องค์ประกอบย่อย ดังต่อไปนี้ องค์ประกอบหลักที่ 1 ขอบข่ายการบริหารงานวิชาการสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก มี 11 องค์ประกอบย่อย คือ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและสาระการเรียนรู้ท้องถิ่น การวางแผนด้านวิชาการ การเรียนการสอนและการพัฒนากระบวนการเรียนรู้ การพัฒนาหนังสือ สื่อ นวัตกรรม เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และแหล่งเรียนรู้ การวัดผล ประเมินผล และการดำเนินการเทียบโอนผลการเรียน การนิเทศการศึกษา การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาในสถานศึกษา การแนะแนวการศึกษา การจัดทำระเบียบและแนวปฏิบัติเกี่ยวกับงานด้านวิชาการของสถานศึกษา การพัฒนาระบบประกันคุณภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา และการส่งเสริมสนับสนุนและประสานความร่วมมือในการพัฒนาวิชาการกับสถานศึกษาบุคคล ครอบครัว ชุมชนและองค์กรอื่นที่จัดการศึกษา องค์ประกอบหลักที่ 2 กระบวนการพัฒนาการบริหารงานวิชาการสำหรับโรงเรียนขนาดเล็ก มี 6 องค์ประกอบย่อย คือ
การระบุเป้าหมาย การจัดทำแผนกลยุทธ์ การปฏิบัติงานตามแผนกลยุทธ์การส่งเสริม ควบคุม กำกับ ติดตาม นิเทศการตรวจสอบและประเมินผล และการสะท้อนผล รายงานผลการดำเนินงาน และ
การนำผลการประเมินไปใช้ สอดคล้องกับ สอดคล้องกับ
3. ผลการทดลองใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)และนำการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้ พบว่า ผลการวิเคราะห์คะแนนเฉลี่ยสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูผู้สอนหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และค่าเฉลี่ยความพึงพอใจของครูผู้สอนที่มีต่อการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) หลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ส่วนคะแนนเฉลี่ยการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สูงกว่าก่อนใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 ซึ่งสอดคล้องกับสมมติฐานที่กำหนดไว้ จากประเด็นดังกล่าว เป็นไปได้ว่า เหตุผลที่คะแนนเฉลี่ยสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูผู้สอน ความพึงพอใจของครู และความสามารถในการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนมีพัฒนาการที่มีแนวโน้มทั้งด้านความรู้และทักษะไปในทิศทางที่ดีขึ้น สอดคล้องกับ มาร์มอน (Marmon, 2002) ได้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการกำหนดสมรรถนะหลักของผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการให้บริการจัดการศึกษาภายใต้ข้อกำหนดของส่วนกลาง พบว่า สมรรถนะหลักสำหรับผู้บริหารและบุคคลที่เกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาตามที่กำหนดจำนวน 18 สมรรถนะเช่น สมรรถนะด้านการบริหาร สารสนเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล ภาวะผู้นำ การมีวิสัยทัศน์ การจูงใจ การวางแผน เพื่อช่วยเหลือครูให้มีมาตรฐานวิชาชีพซึ่งครูผู้สอนย่อมต้องพยายามพัฒนาสมรรถภาพของตนเองตลอดเวลาการเสริมสร้างสมรรถภาพของครู ครูจำเป็นต้องทบทวนคุณสมบัติที่มีอยู่ในตนเองในการปฏิบัติงานและปรับพฤติกรรมการทำงานให้มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ กระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเอง แนวทางการเสริมสร้างสมรถภาพครู ครูต้องหาความรู้ สร้างความเข้าใจให้สอดคล้องกับงานขององค์กรตน และสอดคล้องกับมาตรฐานตามวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษามีหน้าที่ในการบริหารการศึกษา หรือการสนับสนุนการศึกษาเป็นงานสำคัญ ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของ ปรียาพร วงศ์อนุตรโรจน์ (2547: 122) รจนา เตชะศรี (2550: 12) และ สุนทร เพ็ชร์พราว (2551: 17) กล่าวว่า ความรู้สึกของบุคคลที่มีต่อการทำงานในทางบวก เป็นความสุขของบุคคลที่เกิดจากการปฏิบัติงานและได้รับผลตอบแทน คือ ผลที่เป็นความพึงพอใจทำให้บุคคลเกิดความรู้สึกกระตือรือร้นมีความมุ่งมั่นที่จากทำงาน มีขวัญและกำลังใจ และสิ่งเหล่านี้จะมีผลต่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการทำงาน รวมทั้งส่งผลต่อความสำเร็จและเป็นไปตามเป้าหมายขององค์การ หรือเต็มใจที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุวัตถุประสงค์มีความสุขในการทำงาน
4. ประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) จากการประเมินผลการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการ ทั้งกระบวนการได้มาจากการตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ผลลัพธ์ที่เป็นผลจากการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการและจากการสัมภาษณ์ครูผู้สอนเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของรูปแบบการบริหารงานวิชาการที่พัฒนาขึ้นหลังจากที่ได้นำรูปแบบการบริหารงานวิชาการไปใช้พบว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) นี้ สามารถนำไปใช้ได้จริงในภาคปฏิบัติแต่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคนประกอบด้วยผู้บริหารสถานศึกษา ครูผู้สอนมีความจำเป็นที่ต้องมีความรู้และความเข้าใจเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งประเด็นของการบริหารงานวิชาการ เทคนิค/ทักษะการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์และการใช้เครื่องมือสังเกตการสอน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ ดังนี้ ฟอเรสท์ และกินเซอร์ (Foret and Kinser , 2002: 1) ได้กล่าวว่า การบริหารงานวิชาการ คืองานที่จะต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับการบริหารและการส่งเสริม การจัดทำหลักสูตร การสอนและการจัดการเรียนรู้ ผู้บริหารต้องรู้จักการวางแผนงานที่ต้องรับผิดชอบในการติดตามงานที่เกี่ยวข้องกับวิชาการทั้งหมด ซึ่งเป็นภาระงานที่ใหญ่กว่างานบริหารงานทั่วๆไป สอดคล้องกับ พิกุล ชาวชายโขง (2553) ครูมีความพึงพอใจต่อการบริหารวิชาการโรงเรียนศึกษานารีวิทยา โดยรวมทั้ง 6 ด้าน อยู่ในระดับมาก โดยมีด้านกระบวน การจัดการเรียนรู้ ด้านการวิจัยในชั้นเรียน ด้านการพัฒนาหลักสูตร มีการได้รับการจัดอบรมเชิงปฏิบัติการ การให้คำแนะนำในการแก้ปัญหาจากผู้บริหาร ด้านกระบวนการจัดการเรียนรู้ โดยมีการส่งเสริมให้ครูทำแผนการจัดการเรียนรู้ จัดให้มีการสร้างบรรยากาศที่เอื้อต่อการจัดการเรียนรู้ ด้านการใช้สื่อการเรียนรู้ มีการส่งเสริมให้ครูนำสื่อมาใช้ในการเรียนรู้ และจัดสรรงบประมาณในด้านสื่อการเรียนรู้ มีการส่งเสริมสนับสนุน การบูรณาการเนื้อหาวิชาเข้าด้วยกัน และได้รับคำชี้แนะแนวการจัดทำแผนบูรณาการ ด้านการวัดประเมินผล
มีการสนับสนุนให้มีการวัดและประเมินผลที่หลากหลาย แสดงว่า รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) เกิดประสิทธิผล และสามารถสรุปผลได้ดังนี้
4.1 ผลการเปรียบเทียบความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอนแบบโครงงานของครูหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ เนื่องจาก พบว่า ผลการเปรียบเทียบผลคะแนนด้านความรู้เกี่ยวกับการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของครูผู้สอนโดยภาพรวม พบว่าครูผู้สอนมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์หลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ สอดคล้องกับ กรณิศ มุงเมือง (2551) ที่พบว่า คู่มือการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานมีความเหมาะสมมากที่สุดในการนำไปใช้เพื่อพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความเข้าใจมีทักษะโครงงานและพัฒนาพฤติกรรมคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของนักเรียนผลที่เกิดกับครูผู้สอนพบว่าครูผู้สอนมีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานและใช้สื่อคู่มือการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน สอดคล้องกับ สุพรรณี อาวรณ์ และ แก้วเวียง นำนาผล (2557) ที่พบว่า ผลการพัฒนาครูด้านความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์พบว่าทุกคนมีความรู้ความเข้าใจการจัดการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ ครูสามารถจัดการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ได้ ซึ่งสะท้อนผลจากการเปรียบเทียบ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่กลุ่มผู้วิจัยจัดการเรียนรู้ด้านการคิดวิเคราะห์ เมื่อพิจารณาในภาพรวมพบว่าคะแนนทดสอบ หลังเรียนของนักเรียนสูงกว่าคะแนนทดสอบก่อนเรียน และวิเคราะห์ความคิดเห็นของนักเรียนที่มีต่อการจัดการเรียนรู้ของครูด้านการคิดวิเคราะห์ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก
4.2 ส่วนผลการเปรียบเทียบความสามารถในการเขียนแผนการสอนของครูที่ใช้การสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ)หลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ อยู่ในระดับมาก เนื่องจาก พบว่าผลการเปรียบเทียบผลคะแนนความสามารถด้านการเขียนแผนการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของครูผู้สอนโดยภาพรวม พบว่าครูผู้สอนมีคะแนนเฉลี่ยความสามารถด้านการเขียนแผนการสอนแบบโครงงานที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์หลังการใช้รูปแบบ สอดคล้องกับ รุ้งเพ็ชร เบ้าเรือง (2552) ที่พบว่า การพัฒนาครูด้านการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงาน ผู้ร่วมวิจัยมีความกระตือรือร้นในการกระตุ้นให้ผู้เรียนได้แสวงหาความรู้ด้วยตนเอง การคิดวิเคราะห์ และการวางแผนการทำงาน ด้านทักษะกระบวนการกลุ่ม ทำให้การเรียน การสอนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ผู้ร่วมวิจัยมีความรู้ ความเข้าใจ สามารถเขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานได้ ผลการทดสอบก่อนและหลังการปฏิบัติการการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานมีผลการพัฒนาเพิ่มขึ้น
4.3 ส่วนผลการเปรียบเทียบความสามารถในการสอนแบบโครงงานของครูหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ อยู่ในระดับมาก เนื่องจาก พบว่า ผลการเปรียบเทียบความสามารถในการสอนแบบโครงงานของครูหลังการใช้รูปแบบสูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ อยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับ คราชิค และคณะ (Krajcik and other, 1994) ที่พบว่า ครูต้องการให้ความช่วยเหลือและเอาใจใส่เป็นอย่างมากกับนักเรียนที่เรียนอ่อน ส่วนนักเรียนที่เรียนเก่งจะสามารถช่วยเหลือตนเองได้ นักเรียนจะเป็นผู้ดำเนินงานการศึกษาค้นคว้าในเรื่องต่างๆที่ตนสนใจ ซึ่งส่วนใหญ่จะเกี่ยวข้องกับบทเรียนโดยใช้วิธีการศึกษาค้นคว้า นอกจากนั้นครูต้องขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญทั้งด้านเนื้อหาและเทคโนโลยี เพื่อเป็นข้อมูลในการพิจารณาโครงงานของนักเรียน และจากการศึกษายังทำให้ทราบว่าการจัดการสอนแบบโครงงานเป็นการเรียนแบบร่วมมือ ผลที่ได้จากโครงงานเป็นการพัฒนาความคิดรวบยอดและสร้างมนุษยสัมพันธ์ทางวิชาการของนักเรียนได้เป็นอย่างดี สอดคล้องกับ เมเยอร์ และคณะ(Bwneke and other, 2000) ที่พบว่า ผลการสอนแบบโครงงานของวัยเด็กได้ผล 3 ประการ ที่แตกต่างกัน การสอนจากการอบรมการสอนโครงงานหลังจากทำการสอน 1 ปี การสอนแบบโครงงาน จัดเป็นเนื้อหา ดังนี้ หลักสูตรหลังทำการสอน 1 ปี ทำให้การวิจัยแบบโครงงาน ครูมีความกระตือรือร้นขึ้นในการจัดกระบวนการสอนแบบโครงงานและได้รับความร่วมมือจากผู้ปกครองช่วยกันทำการทดลอง เพื่อเป็นการประเมินโครงการ ซึ่งเป็นการท้าทายความสามารถของนักเรียนในการจัดหลักสูตรเป็นอย่างดี สอดคล้องกับ พรชัย บุญยืน และ ชุน เทียมทินกฤต (2556) ที่พบว่า ก่อนการดำเนินการพัฒนา ผู้ร่วมศึกษาค้นคว้าไม่มีความรู้ความเข้าใจในการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน การจัดการเรียนการสอนยังยึดการจัดการเรียนรู้แบบบรรยายเพื่อให้ความรู้แก่นักเรียนเป็นหลัก ไม่ให้โอกาสนักเรียนค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย นักเรียนกระตือรือร้นที่จะค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมมากขึ้นกว่าเดิม ใฝ่รู้ใฝ่เรียน รู้จักการแสวงหาความรู้ด้วย การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตได้ใช้ทักษะหลาย ๆ ด้านในการจัดทำโครงงานนักเรียนรักการทำงานเป็นหมู่คณะ มีความสามัคคีมีความคิดสร้างสรรค์ และมีความสุขในการเรียนเพิ่มมากขึ้น
4.4 ส่วนผลการศึกษาความพึงพอใจของครูหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) อยู่ในระดับมาก เนื่องจาก พบว่า ผลการศึกษาความพึงพอใจของครูหลังการใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก สอดคล้องกับ กรณิศ มุงเมือง (2551) พบว่า ครูมีเจตคติอยู่ในระดับดีมากโดยรวมผลด้านเจตคติอยู่ในระดับดีมากความพึงพอใจของผู้ปกครองที่มีต่อการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานวิชาสังคมศึกษา (ส 31101) ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคมโดยรวมมีความพึงพอใจอยู่ในระดับดีมาก รพีพรรณ สุฐาปัญนกุล (2557) พบว่า รูปแบบการสอนภาษาการพัฒนารูปแบบการสอนภาษาอังกฤษเทคนิค โดยใช้วิธีการสอนที่เน้นภาระงานและโครงงานเพื่อพัฒนาการอ่านภาษาอังกฤษเพื่อความเข้าใจและความคิดสร้างสรรค์สำหรับนักศึกษาระดับปริญญาตรี มีองค์ประกอบที่สำคัญ 6 ประการ คือ 1)หลักการ เป็นรูปแบบการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางมีลักษณะการเรียนรู้แบบร่วมมือกัน(Cooperative learning) มุ่งเน้นให้ผู้เรียนได้รับความรู้ประสบการณ์จากการปฏิบัติงานให้ผู้เรียนมีทักษะกระบวนการในการทำงาน เพื่อร่วมกันสร้างภาระงานหรือโครงงาน ส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ภาษาในสถานการณ์ที่หลากหลายส่งเสริมการเรียนรู้อย่างอิสระ ให้ผู้เรียนได้ฝึกคิด รับผิดชอบงานปฏิบัติและพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ สอดคล้องกับ
4.5 ส่วนผลการเปรียบเทียบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนหลังการใช้รูปแบบ การบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) สูงกว่าก่อนการใช้รูปแบบ เนื่องจาก ผลการทดสอบทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียน พบว่า ในภาพรวมนักเรียนมีทักษะการคิดวิเคราะห์ในระดับสูง สอดคล้องกับ Boaler (1997) ที่พบว่าโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน นักเรียนมองว่าวิชาคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่ยืดหยุ่น ส่วนโรงเรียนที่มีการจัดการเรียนแบบปกติ นักเรียนมองว่าคณิตศาสตร์เป็นวิชาที่น่าเบื่อต้องอาศัยความจำเป็นหลัก สอดคล้องกับ Shepherd (1998) ที่พบว่า นักเรียนที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงานสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์ได้ดียิ่งขึ้น มีความมั่นใจเพิ่มขึ้น และการเรียนรู้ดีขึ้นหลังจากที่ได้รับการจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน สอดคล้องกับ ดุสิต ขาวเหลือง (2554) ที่พบว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบโครงงานแบบปกติและจัดการเรียนรู้แบบโครงงานมีผลการเรียนสูงกว่าการเรียนรู้แบบปกติ และปฏิสัมพันธ์ร่วมระหว่างวิธีการจัดการเรียนรู้กับระดับผลการเรียนพบว่าวิธีการจัดการเรียนรู้และระดับผลการเรียนร่วมกันส่งผลต่อคะแนนทักษะการคิดของนิสิตระดับปริญญาตรีอย่างไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ
ข้อเสนอแนะ
จากข้อค้นพบของการวิจัยและพัฒนาเรื่อง การพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ผู้วิจัยได้สรุปเป็นข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไปไว้ดังนี้
ข้อเสนอแนะในการนำผลการวิจัยไปใช้
1. รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ได้พัฒนาด้วยกระบวนการวิจัยและพัฒนาและการออกแบบเชิงระบบ ซึ่งสามารถตรวจสอบและให้ข้อมูลย้อนกลับได้ในทุกขั้นตอน เพื่อให้การนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด ซึ่งผู้ที่จะนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้ควรมีความรู้ และทักษะในการสอนแบบโครงงานเป็นอย่างดี
2. จากการติดตามผลการนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้ พบข้อสังเกตจากการปฏิบัติของครูผู้สอนว่า การที่มีผู้คอยดูแล ซึ่งมีความรู้ความสามารถในด้านการสอนแบบโครงงานคอยช่วยเหลือติดตามการปฏิบัติจะสามารถช่วยให้ครูผู้สอนเกิดความมั่นใจและมีกำลังใจในการปฏิบัติงาน ซึ่งการนำนวัตกรรมใหม่ๆไปใช้ ผู้บริหารหรือหัวหน้าวิชาการจำเป็นต้องมีการติดตาม ดูแล ช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
3. ผู้ที่เกี่ยวข้องในการนำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ไปใช้ทุกฝ่ายจำเป็นต้องสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตรงกันถึงเป้าหมายของการกำกับ ดูแลและติดตามอย่างแท้จริง คือ เพื่อให้ความช่วยเหลือและสามารถปฏิบัติได้ถูกต้องตามขั้นตอนอย่างครบถ้วนและสมบูรณ์เพื่อนำไปสู่การใช้รูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพตามเป้าหมาย
4. จากการติดตามดูแลและให้ความช่วยเหลือครูผู้สอนจากผู้บริหารเป็นระยะๆตลอดช่วงของการพัฒนาจะช่วยเสริมสร้างขวัญและกำลังใจที่ดีให้แก่ครูผู้สอนและช่วยก่อให้เกิดความอบอุ่นใจ เพิ่มความมั่นใจในระหว่างการสอนแบบโครงงาน
ข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยครั้งต่อไปไว้ดังนี้
1. ควรมีการวิจัยและพัฒนารูปแบบการสอนแบบอื่นๆ หรือการบริหารกลุ่มงานบริหารทั่วไป งานบุคคล มีการติดตามดูแลของผู้บริหาร เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการจัดการศึกษาของสถานศึกษา
2. ควรมีการวิจัยและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) จากปัจจัยที่ส่งผลต่อทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนต่อไปให้หลากหลายวิธีการยิ่งขึ้น
3. ควรมีการวิจัยและพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) ในอนาคตด้วยการออกแบบการวิจัยที่มีการเปรียบเทียบกลุ่มตัวอย่างที่นำรูปแบบการบริหารงานวิชาการเพื่อพัฒนาสมรรถนะการสอนแบบโครงงานของครูที่ส่งเสริมทักษะการคิดวิเคราะห์ของนักเรียนโรงเรียนเทศบาล 1 (บ้านกาแป๊ะ) มาใช้กับกลุ่มตัวอย่างที่ดำเนินการสอนตามรูปแบบปกติ